Brand ใดในยุค 2016 เป็นต้นไป ได้เปลี่ยนแปลงภาวการณ์เป็นผู้นำ

ตัวแทนกว่า 2,000 รายจากกลุ่มความยั่งยืน ที่มีผู้ประกอบการ นักวางแผนด้านกลยุทธ์ของแบรนด์ นักนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ ผู้นำทางความคิดและผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงรวมตัวกันในงาน SB’18 Vancouver

เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกด้านความหลากหลายเพื่อนำมาปรับปรุงการดำเนินธุรกิจทั่วโลก โดยหัวข้อหลักๆ ด้านภาวะผู้นำที่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

อนาคตของธุรกิจ

เกิดอะไรขึ้นเมื่อชาวแคนาดา 2 คน และชาวอังกฤษ 1 คน เจอกันเพื่อคุยกันถึงประเด็น GlobeScan/ Sustainability Leaders Report? ในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งผลลัพธ์คือหนังสือเล่มใหม่ชื่อ All in: The Future of Business Leadership ของ Chris Coulter ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่ง GlobeScan และ Mark Lee ผู้อำนวยการบริหารแห่ง SustainAbility ร่วมด้วย David Grayson ศาสตราจารย์ด้านความรับผิดชอบองค์กรแห่ง Cranfield School of Management ร่วมกันพูดคุยบนเวทีในเช้าวันอังคารในการเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ของพวกเขา

ใจความสำคัญจากการพูดคุยครั้งนี้คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราต้องการในยุคที่มีความซับซ้อนและถูก Disrupt คือการเป็นผู้นำ โดยหนังสือเล่มนี้ได้เขียนถึงภาวะผู้นำจากบริษัท 50 แห่ง ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ได้ทำการศึกษา ซึ่งผู้เขียนได้ใช้วิธีการสัมภาษณ์อดีตผู้นำ ผู้นำปัจจุบันและในอนาคตและพบว่าวิวัฒนาการการเป็นผู้นำจากอดีตถึงอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ซึ่งได้รับการจำแนกออกเป็น 3 ยุค ดังนี้

· ยุคแห่งการลดความเสียหาย (the Harm Reduction Era) ระหว่างปี 1997 – 2005 เมื่อผู้นำยุคเริ่มแรกอย่าง Dow, BP และ 3M นำนโยบาย “do no harm approach” มาใช้
· ยุคแห่งการบูรณาการกลยุทธ์ (the Strategic Integration) ระหว่างปี 2006-2015 เป็นช่วงเวลาที่การเป็นผู้นำได้เปลี่ยนแปลงโดยที่บริษัท GE, Interface และ M&S ได้ควบรวมแผนกลยุทธ์ต่างๆและบูรณาการสู่การเป็นบรรษัท
· ยุคแห่งการขับเคลื่อนด้วยวัตถุประสงค์ (the Purpose-Driven Era) ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นยุคปัจจุบันที่มีกลุ่มบริษัท ได้แก่ IKEA, Natura และ Tesla ที่การตัดสินใจทั้งหมดผ่านการขับเคลื่อนด้วยวัตถุประสงค์ ไม่น่าแปลกใจที่ Unilever ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในแต่ละยุค

จากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ที่รวมเข้าด้วยกัน ได้มีการเสนอ “กรอบความเป็นผู้นำ” ซึ่งจะกลั่นกรองอนาคตของความเป็นผู้นำทางธุรกิจที่จำแนกออกเป็นห้าประเด็นหลัก ได้แก่ วัตถุประสงค์ แผนงาน วัฒนธรรม การร่วมมือ และการสนับสนุน

“ในอดีตคุณอาจจะสามารถเป็นผู้นำได้ถ้าคุณประสบความสำเร็จด้านเดียวหรือสองด้าน แต่การเป็นผู้นำในวันนี้เราเชื่อว่าคุณจำเป็นต้องประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน” Grayson กล่าว

ส่วนประกอบพื้นฐาน 3 อย่างแรกได้แก่ จุดประสงค์ แผนงาน และวัฒนธรรม โดยการกำหนดวัตถุประสงค์ การพัฒนาการวางแผนงานและการส่งเสริมวัฒนธรรมโดยอาศัยจุดประสงค์นั้นในการดำเนินการ นอกจากนี้ การร่วมมือนั้นมีความสำคัญในเชิงการบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ และการสนับสนุนเป็นคุณสมบัติใหม่ล่าสุดที่ถูกกำหนดขึ้นมา

“กล่าวได้ว่าคุณสมบัติ 5 ข้อนี้มีความเป็นอิสระต่อกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าคุณสมบัติเหล่านี้มีวุฒิภาวะที่เท่าเทียมกัน แต่การสนับสนุน (Advocacy) นั้นอาจจะแสดงถึงการมีวุฒิภาวะน้อยที่สุด และนี่ก็ไม่ได้เป็นการชักจูง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าองค์กรไม่ได้ให้ความสำคัญแต่อย่างใด แต่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบ” Lee อธิบาย

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนทั้งสามไม่ได้แนะนำว่าการ “รวมทั้งหมดไว้ด้วยกัน” นั้นเป็นโซลูชั่นส์ที่ดีที่จะรับประกันความสำเร็จทางธุรกิจ แต่พวกเขามีความเชื่อว่า กรอบการทำงานนี้จะส่งเสริมให้เกิดผลดีต่อบริษัท ในตอนท้ายสิ่งที่ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้เห็นด้วย โดย Coulter ได้เน้นคือ

“เราต้องหาทางในการส่งต่อและผลักลงมาให้อยู่เหนือยอดพิรามิดของบริษัท ซึ่งเราได้ทำการศึกษามาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว” ดังนั้น ด้วยความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของคุณสมบัตินั้น ส่งผลให้นักเขียนทั้งสามกำหนดคุณสมบัติข้อที่ 4 สำหรับการเป็นผู้นำที่มีความยั่งยืนขึ้นมานั่นเอง

บริษัท Danone การเป็นผู้นำที่มีการเปลี่ยนแปลงสู่การปฏิบัติ

Danone มีวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนที่กว้างไกล เฉกเช่นกับส่วนแบ่งการตลาดขนาดใหญ่ของบริษัท ที่เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคขนาดใหญ่ที่สุดของโลก โดย Wargon ได้เอ่ยถึงเป้าหมายของ Danone ในปี 2030 ในฐานะแผนของบริษัทไม่ใช่แผนด้านความยั่งยืน ได้แก่ การได้รับความเชื่อมั่น กระตุ้นการสร้างจุดประสงค์ที่เชื่อถือได้ ดึงดูดผู้คนและยอมรับความต้องการของผู้บริโภคและเป็นผู้นำในการปฏิวัติอาหารทั่วโลก

นอกจากนี้ Wargon ได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า Danone เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงองค์กรในด้านที่น่าสนใจได้อย่างไร เช่น จากการรับรองว่าบริษัทการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำเนินธุรกิจ ที่คำนึงถึงการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการแสวงหากำไร และหนึ่งในรูปแบบองค์กรธุรกิจยุคใหม่ที่เกิดขึ้น คือ Benefit Corporation ธุรกิจหรือ B-Corp ที่สร้างคุณประโยชน์ให้สังคมในการลดน้ำตาลและ GMO ในผลิตภัณฑ์ และการนำนโยบายด้านสถานที่ทำงานที่สำคัญๆ ไปใช้ เช่น นโยบายการลาเพื่อเลี้ยงลูกสำหรับลูกจ้างของบริษัททั่วโลก

กรณีธุรกิจที่เป็นมิตรกับ CFO สำหรับโครงการความยั่งยืน

Bob Willard ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจยั่งยืน กล่าวว่า ได้จัดการกับปัญหาที่อยู่ในใจสำหรับมืออาชีพด้านความยั่งยืนจำนวนมาก – ทำอย่างไรให้ CEO / CFO ของคุณซักถามเกี่ยวกับโครงการความยั่งยืนของคุณ? เราเข้าไปในเรื่องนี้โดยใช้อาคารสีเขียวเพื่อเป็นกรณีศึกษา Willard ได้กระตุ้นให้เราเริ่มต้นด้วยการค้นหางานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับค่าเบี้ยประกันระหว่างผลิตภัณฑ์ทั่วไปกับตัวเลือกที่มีความยั่งยืน แต่ในโลกของอาคารสีเขียวแล้ว ราคาได้ตกลงอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยค่าเบี้ยประกันสำหรับการสร้างอาคาร LEED ในประเทศสหรัฐฯ อยู่ระหว่าง 2-5% และยังมีบางกรณีที่ค่าเบี้ยประกันจะต่ำลงด้วยซ้ำ

งานวิจัยนั้น มีความสำคัญแต่ยังคงไม่เพียงพอ เรามีกรณีศึกษาว่า เราจะขายอย่างไร? คำแนะนำของ Willard คือให้เกียรติกระบวนการที่มีอยู่ในองค์กรอยู่แล้ว และติดตามผลด้วยการใช้ความสามารถในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อการมีส่วนร่วมกับฝ่ายบริหารในการร่วมสร้างกรณีทางธุรกิจที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการริเริ่มความยั่งยืนของคุณจะสามารถส่งต่อคุณค่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในด้านการปฏิบัติแล้ว หากคุณกำลังมองไปที่โครงการด้านสาธารณูปโภค ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการตัดสินใจทางการเงิน

ที่มา

ข่าวเกี่ยวข้อง

 

Stay Connected
Latest News