หอการค้าและสภาหอการค้า จัดเสวนาเรื่อง “รวมพลังหอการค้า ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนไทย อย่างยั่งยืน” ประกาศขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านเครือข่ายหอการค้าจังหวัดฯ และกลุ่มผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ทั่วประเทศ มุ่งสร้างโมเดลธุรกิจยั่งยืน ด้วยการลดใช้ทรัพยากร จัดการของเสียอย่างครบวงจร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เน้นกลยุทธ์หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เผยแผนปี 2564 เน้นดำเนินการที่ภาคธุรกิจการค้าและบริการในจังหวัดชายฝั่งทะเลกว่า 23 จังหวัด
กลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียนต่อภาคธุรกิจว่า “การมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว นำมาซึ่งปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น ความเหลื่อมล้ำ ภัยแล้ง น้ำท่วม ขยะล้นเมือง และสุดท้ายปัญหาเหล่านี้จะกลับมากระทบต่อธุรกิจ สำหรับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นเรื่องของการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ให้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ จึงมีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน หอการค้าฯ จึงมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านเครือข่ายสมาชิก
ซึ่งดำเนินธุรกิจการค้าและบริการใน 3 ห่วงโซ่เศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ การค้าและการลงทุน การเกษตรและอาหาร และการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งในปัจจุบัน ทางหอการค้าฯ มีเครือข่ายสมาชิกทั่วประเทศกว่า 100,000 ราย ประกอบด้วย ผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ ซึ่งพร้อมจะดำเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน รวมทั้งภาคประชาสังคม รวมทั้งจะนำโครงการต้นแบบขององค์กรต่าง ๆ มาปรับใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ต่อไป”
“รัฐบาลได้ประกาศนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy โดยผมได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการบริหาร BCG และดูแลด้านการท่องเที่ยว เชื่อว่านอกจาก Circular Economy จะช่วยลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ด้วย จึงยินดีอย่างยิ่งที่จะตอบรับภาครัฐในการขับเคลื่อนนโยบายนี้ในภาคเอกชนด้วยเช่นกัน”
ด้าน ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน หอการค้าไทย กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจรูปแบบเก่า หรือ Linear Economy เป็นการนำทรัพยากรมาผลิต เกิดของเสียแล้วทิ้ง ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา จึงเกิดรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ คือ เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่คำนึงถึงคุณค่าของทรัพยากรตลอดช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการนำกลับมาใช้ซ้ำ หรือใช้ใหม่ให้มีประสิทธิภาพ โดยมีกลยุทธ์สำคัญ คือ การออกแบบสินค้าให้เกิดการนำมาใช้ซ้ำ หรือใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการของเสียอย่างเป็นระบบครบวงจร ทำให้การดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของโลกในขณะนี้
ในปีที่ผ่านมา คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน หอการค้าฯ ได้จัด “Circular Economy Workshop” ขึ้นเพื่อหาแนวทางการดำเนินงาน โดยมีตัวแทนจากภาคเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยฯ สมาคมธนาคาร ร่วมทั้งเครือข่ายของหอการค้าฯ เข้าร่วมนำเสนอความเห็น “จากการเวิร์กชอปพบว่า การขับเคลื่อนแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนควรเน้นที่ปลายน้ำของ Value Chain หรือภาคธุรกิจการค้าและบริการ ให้มีการบริหารจัดการของเสีย หรือ Waste Management ที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นที่ขยะเศษอาหารและพลาสติก ซึ่งเป็นประเภทขยะที่มีปริมาณมาก โดยหอการค้าฯ ได้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนขึ้น ประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในกลุ่มสมาชิกฯ อย่างเป็นรูปธรรม”
ส่วน ศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ที่ปรึกษาคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน กล่าวว่า จากปริมาณขยะทั้งหมดในประเทศไทย 27.8 ล้านตันต่อปี มีสัดส่วนที่นำไปรีไซเคิลเพียงร้อยละ 31 ดังนั้นขยะที่อยู่นอกระบบจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาขยะทะเลที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำ จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือ TDRI พบว่า กว่าร้อยละ 80 ของขยะทะเลเกิดขึ้นจากกิจกรรมบนบก โดยที่มาของปัญหาคือพฤติกรรมของมนุษย์ การจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้วัสดุได้หมุนเวียนกลับคืนมาในระบบเศรษฐกิจ และไม่หลุดรอดไปทำลายสิ่งแวดล้อม
ทางหอการค้าฯ และคณะทำงานจึงร่วมมือกันขับเคลื่อนเรื่องการจัดการขยะให้เป็นวาระเริ่มต้นที่สำคัญ โดยแผนงานในปี 2564 นี้ จะเน้นส่งเสริมภาคธุรกิจการค้าและบริการใน 23 จังหวัดชายฝั่งทะเล ซึ่งคาดหวังให้แต่ละจังหวัดมีโครงการต้นแบบอย่างน้อย 1 โครงการ และสามารถนำไปขยายผลภายในจังหวัดของตนต่อไป ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมาหอการค้าฯ ยังได้ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา จัดทำหนังสือ “เงินทองจากกองขยะ” หรือ Waste to Wealth ซึ่งเป็นชุดความรู้เรื่องการจัดการขยะตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สามารถนำไปเป็นต้นแบบหรือต่อยอดประยุกต์ใช้ได้
สลิลลา สีหพันธุ์ กรรมการ คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (คณะทำงานจัดการขยะอาหาร) กล่าวว่า ประเทศไทยมีธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและร้านอาหารจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับขยะเศษอาหารที่ยังไม่มีการจัดการที่ดีเพียงพอ เนื่องจากขยะอาหารก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกและส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน “เราให้ความสำคัญเรื่องการให้ความรู้ ความเข้าใจ และแบ่งปันวิธีการดำเนินงาน โดยเน้นผลดีที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจ ทั้งเรื่องการลดต้นทุน และการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ”
ปิดท้ายด้วย กีรติ อัสสกุล กรรมการ คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน กล่าวว่า นอกจากนี้ หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในหอการค้าฯ คือ การสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการที่สนใจและมี passion เดียวกัน ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่เรียกว่า “Social Lab” หรือห้องปฏิบัติการทางสังคม “การทำ Social Lab เป็นกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรียนรู้ และเข้าใจความเชื่อมโยงขององค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อเกิดการลงมือเปลี่ยนแปลงร่วมกัน โดยปีที่ผ่าน มีผู้ประกอบการและกลุ่มผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่กว่า 80 คน เข้าร่วมโครงการและพร้อมจะนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนไปปรับใช้ในธุรกิจและชีวิตประจำวัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ และในปีนี้ จะเดินหน้าสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายต่อไป” กีรติ อัสสกุล กรรมการ คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน กล่าว
ก่อนปิดการเสวนา กลินท์ สารสิ กล่าวสรุปว่า “ในฐานะที่หอการค้าฯ เป็นองค์กรเอกชนที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ เราจะเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนผู้ประกอบการธุรกิจการค้าและบริการ ให้มีการดำเนินงานตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งของเครือข่าย พร้อมทำให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมร่วมกับภาครัฐ เครือข่ายเอกชนอื่น ๆ และประชาชน เราเชื่อว่า การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนจะสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน”