Climate Change 2020 ปีแห่งหายนะของโลก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปี 2020 เป็นปีที่สาหัสด้วยวิกฤตต่างๆรอบด้านที่ส่งผลกระทบเป็นห่วงโซ่ไปทั่วโลก จนหลายคนมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบปี 2020 นั้น อาจจะรุนแรงที่สุดหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ปิดฉากลง สื่อยักษ์ใหญ่อย่าง The New York Times ได้รวบรวมเหตุการณ์สำคัญๆที่เน้นประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอดทั้งปี 2020 เพื่อให้เราได้ตระหนักว่าประเด็นดังกล่าวยังคงมีความสำคัญและการแก้ไขปัญหาที่เร่งด่วนก็ยังมีความจำเป็น

วิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อม

เปิดฉากศักราชใหม่ด้วยเหตุการณ์ไฟป่าในพื้นที่แถบชายฝั่งของประเทศออสเตรเลีย ที่ลามมาตั้งแต่ปลายปี 2019 ซึ่งถูกบันทึกว่าเป็นปีที่ร้อนและแห้งแล้งที่สุดของออสเตรเลีย ขณะเดียวกัน ในอีกซีกโลกหนึ่งอย่างแคลิฟอร์เนีย ในสหรัฐฯ ผู้คนหลายล้านคนต้องอพยพออกไปจากพื้นที่ที่ไฟป่ากำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนและความแห้งแล้ง และนับเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของชาวแคลิฟอร์เนีย นอกจากนี้ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ฝั่งละตินอเมริกาก็ต้องกุมขมับกับเหตุการณ์ไฟป่าพื้นที่ Pantanal ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่สร้างความเสียหายกินพื้นที่ไปประมาณ 1 ใน 4ของพื้นที่ทั้งหมด

ในขณะที่หลายพื้นที่ในโลกได้รับความเสียหายอย่างหนักจากไฟป่า ทางขั้วโลกก็มีเหตุการณ์น้ำแข็งละลายเนื่องจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น และเกิดการก่อตัวของพายุจำนวนมาก ซึ่งส่งผลต่อเหตุการณ์น้ำท่วมและดินถล่มในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา

ความไม่สมดุลกัน

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเท่าเทียมกันทั่วโลก บางที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติน้อย แต่บางพื้นที่ถูกโหมกระหน่ำอย่างหนัก เช่น ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีรายงานข่าวว่า เมืองซานฟรานซิสโก และมะนิลา เผชิญกับวิกฤติระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และในเดือนมิถุนายน พบว่า 1 ใน 4 ของชาวบังกลาเทศได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากภาวะน้ำท่วม เป็นต้น

การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกตั้งแต่เริ่มต้นปี 2020 ส่งผลกระทบอย่างหนักในหลายๆด้าน และยังเป็นผลสะท้อนให้เราเห็นภัยคุกคามของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ดังกล่าวช่วยให้ธรรมชาติได้มีเวลาฟื้นฟูตัวเองมากขึ้นเนื่องจากมนุษย์ลดการทำกิจกรรมนอกบ้าน และการปล่อยควันพิษจากการเดินทางทั้งทางบก ทางอากาศ และทางน้ำก็ลดน้อยลง ส่งผลให้คุณภาพอากาศในหลายพื้นที่ดีขึ้น

กิจการใหญ่เจอวิกฤติ

จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 และภาวะโลกร้อน ทำให้อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติอย่างหนัก นอกจากนี้ ฝั่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็โดนมรสุมไม่แพ้กันเนื่องจากธนาคารต่างๆมีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภัยคุกคามจากสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อตลาดที่พักอาศัย ขณะที่บางอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเนื้อ ได้ต่อสู้กับฟุ้ตพริ้นท์ด้านสภาพภูมิอากาศด้วยวิธีการเลี้ยงปศุสัตว์ที่มีส่วนในการลดปริมาณคาร์บอน เพื่ออนาคตของอุตสาหกรรมที่สดใสมากขึ้น

การเมืองสหรัฐฯกับนโยบายสิ่งแวดล้อม

ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เข้ามาบริหารประเทศสหรัฐอเมริกา กลับไม่ได้ให้ความสนใจกับภาวะโลกร้อนเท่าใดนัก เพราะเขาเชื่อว่ามันเป็นเรื่องโกหก การแก้ไขนโยบายการปกป้องสิ่งแวดล้อมของทรัมป์ยังคงมีอยู่ต่อเนื่องแม้ว่าเขาใกล้วาระที่จะต้องโบกมือลาทำเนียบขาวแล้วก็ตาม ในขณะที่ ว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ยึดมั่นกับคำสัญญาที่ได้ให้ต่อชาวอเมริกันว่าจะกลับมาโฟกัสปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างที่เขาได้หาเสียงเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เราเพิ่งถกกันในปี 2020 แต่เป็นปัญหาเรื้อรังที่ยังคงต้องการการแก้ไขที่มีประสิทธิภาพและส่งผลกระทบเชิงบวกต่อคนทั้งโลก ดังนั้น การร่วมมือกันหาโซลูชันต่างๆก็ยังต้องเกิดขึ้นในปี 2021 เพื่ออนาคตที่ดีขึ้นของโลกเรา

credit : www.nytimes.com/interactive/2020/climate/2020-climate-change.html
Photo:climate.nasa.gov/effects

Stay Connected
Latest News