“สิ่งที่ทำให้ครูตัดสินใจทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยเหลือเด็กพิเศษกลุ่มนี้ก็คือ
ครูมองเห็นความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวของพวกเขา
หากเรามีวิธีการสอนด้วยความเข้าใจและมอบโอกาสที่พวกเขาสมควรได้รับ
พวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ ซึ่งครูเชื่อว่า
‘ศาสตร์พระราชา’
คือสิ่งที่ดึงศักยภาพของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่
เพราะนี่คือแนวทางการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงที่จะทำให้พวกเขาสามารถ
พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนในอนาคตข้างหน้า”
นี่คือคำกล่าวของ ครูบุญชู ม่วงไหมทอง อดีตข้าราชการครูที่ตัดสินใจเกษียณอายุล่วงหน้า เพื่อนำทรัพย์สินส่วนตัวมาก่อตั้ง มูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษ ที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยที่บ้านหลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรวมเด็กพิเศษจากทั่วประเทศ แต่ยังเป็นศูนย์การเรียนรู้ที่พร้อมจะส่งเสริมให้เด็กๆ เหล่านี้ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี สามารถประกอบอาชีพหารายได้ หรือแม้กระทั่งช่วยเหลือดูแลพี่น้องในครอบครัวแห่งนี้
“เด็กพิเศษ”บ้านครูบุญชู
ทั้งนี้ครูบุญชูมองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่และก็มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยให้เด็กเหล่านี้สามารถอยู่ร่วมกับสังคมภายนอกได้อย่างปกติสุข ด้วยการน้อมนำเอา “ศาสตร์พระราชา” มาปรับใช้เพื่อทำการเกษตรหล่อเลี้ยงปากท้องกว่า 190 ชีวิต และสร้างห้องเรียนธรรมชาติ เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการแก่เด็กทุกคนในบ้านครูบุญชู
“เป้าหมายสูงสุดของครูก็คือ การที่เด็กทุกคนในบ้านครูบุญชูเติบโตขึ้นอย่างมีพัฒนาการ ครูและพี่เลี้ยงทุกคนจึงพยายามดูแลและส่งเสริมให้พวกเขาได้มีโอกาสทางการศึกษา มีอาชีพการงานที่ก่อให้เกิดรายได้สำหรับเลี้ยงดูตนเอง สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องเฝ้ารอความช่วยเหลือหรือพึ่งพาเงินบริจาคเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป้าหมายของครูก็สอดคล้องกับศาสตร์พระราชาที่มุ่งเน้นการพัฒนาคนเพื่อความพออยู่พอกินและเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน”
เรียนรู้ “ศาสตร์พระราชา”
สำหรับเรื่อง “ศาสตร์พระราชา” ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ร่วมกับ มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง โดยพาเด็กๆ จากบ้านครูบุญชูจำนวน 20 คน พร้อมด้วยพี่เลี้ยงอีก 10 คน เข้ารับการอบรมรับการอบรมศาสตร์พระราชา ที่ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ จังหวัดนครนายก เพื่อเรียนรู้หลักการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติและเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ที่ทำให้พวกเขาสามารถพึ่งพาตนเองได้
และที่สำคัญที่สุดคือการเข้ารับการอบรมในครั้งนี้ยังถือเป็นโอกาสครั้งแรกที่เด็กๆ จากบ้านครูบุญชูได้เรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมกับเด็กปกติจากโรงเรียนบ้านโป่งเกตุ จังหวัดสระบุรี และ โรงเรียนบ้านแก่งหินปูน จังหวัดเพชรบูรณ์ รวมจำนวน 30 คนอีกด้วย
หลังจากได้รับการอบรมศาสตร์พระราชาขั้นพื้นฐานแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือปฏิบัติจริง โดยคณะผู้บริหารและพนักงานจิตอาสาจาก เชฟรอนประเทศไทย 150 คน พร้อมด้วยเครือข่ายจากมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติรวมทั้งสิ้น 173 คน ได้เข้าไปปรับปรุงพื้นที่ขนาด 1 ไร่ 1 งาน ที่บ้านครูบุญชู ภายใต้งบประมาณการจัดกิจกรรม จำนวน 525,000 บาท โดยได้นำแนวคิด “โคก หนอง นา โมเดล” มาเป็นแนวทางจัดการบริหารพื้นที่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาใช้สร้างห้องเรียนธรรมชาติขนาดใหญ่
พื้นที่ไร่กว่ากลายเป็น “พื้นที่เรียน เล่น รู้ เพื่อน้องอิ่ม” สำหรับเพาะปลูกพืชผักสวนครัว ที่นอกจากจะสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้แล้ว ยังเป็นสถานที่ที่เด็กพิเศษทั้งหมดจะได้ เรียน เล่น รู้ ท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยกล่อมเกลาอารมณ์และจิตใจ รวมทั้งเสริมพัฒนาการให้เด็กสามารถพึ่งพาตนเองได้
อาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวถึงโครงการนี้ว่า “5 ปีที่แล้ว เชฟรอนได้สนับสนุนการสร้างอาคารนอนแก่บ้านครูบุญชู มาในปีนี้ จึงมองหาโอกาสต่อยอดการสนับสนุนมูลนิธิที่ตอบโจทย์ความต้องการในการสร้างความยั่งยืนให้กับพื้นที่ จึงเกิดเป็นโครงการ ‘สร้างพื้นที่เรียน เล่น รู้ เพื่อน้องอิ่ม’ โดยเริ่มจากนำเด็กพิเศษไปอบรมศาสตร์พระราชา อันเป็นหนึ่งในแผนงานของโครงการ “ฟื้นฟูลุ่มน้ำป่าสัก ตามรอยพ่อ” ที่มุ่งเน้นการอบรมให้ความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติตามแนวทางศาสตร์พระราชา
“ในวันนี้ ก็ได้พาพนักงานจิตอาสามาร่วมลงมือกับน้องๆ บ้านครูบุญชู ในการปรับเปลี่ยนพื้นที่รกร้าง ตามแนวคิด ‘โคก หนอง นา โมเดล’ ให้กลายเป็นพื้นที่การเกษตรที่มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถใช้ทำการเพาะปลูกพืชผักปลอดสารสำหรับเป็นอาหารให้ทุกคนในบ้าน มีการบริหารจัดการน้ำไว้ใช้ในการเกษตรอย่างมีระเบียบแบบแผน เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจหรือทำกิจกรรมเสริมพัฒนาการต่างๆ ให้เด็กเหล่านี้ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติและพร้อมที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถดำเนินชีวิตโดยพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งตรงกับเป้าหมายของมูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษ อันเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในที่สุด”
พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
ส่วน ปริพนธ์ วัฒนขำ วิทยากรเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ได้กล่าวว่า “จากการจัดค่ายอบรมศาสตร์พระราชาขั้นพื้นฐานและการฟื้นฟูพื้นที่รกร้างในบริเวณบ้านครูบุญชูให้กลายเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การทำเกษตรอย่างพอเพียงนั้นได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เด็กพิเศษและเด็กธรรมดาทั่วไปสามารถเรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุข แม้ว่าเด็กพิเศษอาจจะมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถเรียนรู้ผ่านทางการฟังหรือการอ่านได้เหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไป แต่พวกเขาก็สามารถเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงได้ หากเด็กพิเศษได้รับการปลูกฝังด้วยศาสตร์พระราชาอย่างถูกวิธี ผมเชื่อว่าพวกเขาจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้และดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ไม่เป็นภาระสังคมอย่างที่หลายคนเข้าใจผิดอย่างแน่นอน”
โครงการสร้างพื้นที่เรียน เล่น รู้ เพื่อน้องอิ่ม ที่มูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษ ถือเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ศาสตร์พระราชาคือแนวคิดที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต แก้ปัญหาและก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้จริง ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือเด็กพิเศษก็ตาม สิ่งสำคัญคือ การมอบโอกาสให้เด็กเหล่านี้ได้เรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อที่เขาจะสามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปกติสุข
โดยหลังจากที่เด็กพิเศษจากมูลนิธิฯได้เข้ารับการอบรมและเรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง ครูบุญชูได้กล่าวสรุปว่าพวกเด็ก ๆ ก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน สามารถใช้ชีวิตและเรียนรู้ร่วมกับเด็กปกติได้ สามารถทำงานประกอบอาชีพได้ เช่น การทำน้ำยาล้างจานและน้ำยาปรับผ้านุ่ม การถักพรมเช็ดเท้า และการทำงานฝีมือเปเปอร์มาเช่ เพื่อสร้างรายได้ด้วยตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาได้นำเอาแนวทางที่ได้รับการปลูกฝังมาปรับใช้ในการดูแลพื้นที่การเกษตรตรงนี้ ทำให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการลดค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนด้วยการปลูกผักปลอดสารพิษ เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นข้อยืนยันว่า ศาสตร์พระราชาได้สอนให้พวกเขาพึ่งพาตนเองได้จริง ขอเพียงแค่พวกเขาได้รับการอบรมและโอกาสในการเรียนรู้อย่างถูกต้องเหมาะสม” ครูบุญชู ม่วงไหมทอง กล่าว