ปีนี้เป็นปีที่ 5 ที่ห้างแว่นท็อปเจริญ ร่วมกับมูลนิธิสงเคราะห์เด็กสภากาชาดไทย บุกไปตามชนบททุรกันดานเพื่อไปช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่มีปัญหาด้านสายตาให้กลับมามองเห็นได้อย่างชัดเจน เพื่อที่เด็กเหล่านี้จะได้มีโอกาสไปสานฝันของตัวเองให้เป็นจริง
“ห้างแว่นท็อปเจริญ” ร่วมกับ “มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย” ฉลองความสำเร็จในโอกาสครบรอบ 5 ปี “โครงการแว่นตาเพื่อน้อง” ตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์ประธานมูลนิธิฯ ในการให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่มีปัญหาด้านสายตาในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศให้มีสุขภาพตาที่ดีขึ้น และได้รับการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเนื่องจากการมองเห็นที่ชัดเจน นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2558 จนถึงปัจจุบัน โครงการได้ดำเนินงานและส่งทีมผู้เชี่ยวชาญพร้อมเครื่องมืออันทันสมัยลงพื้นที่ตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นใหม่ฟรีให้แก่เด็ก
และเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลไปแล้วกว่า 5,000 ราย โดยล่าสุด “ห้างแว่นท็อปเจริญ” ยังได้รับพระราชทานพระราชานุญาตในการสานต่อโครงการฯ อย่างต่อเนื่องเพิ่มอีก 5 ปีจนถึงปีพ.ศ. 2567 พร้อมเชิญชวนชาวไทยตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสายตาของเด็กและเยาวชนในยุคปัจจุบัน
นพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ กรรมการผู้จัดการห้างแว่นท็อปเจริญ กล่าวว่า ห้างแว่นท็อปเจริญให้การช่วยเหลือประชาชนที่มีปัญหาด้านสายตามาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการสนองพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเล็งเห็นความสำคัญของสายตาเยาวชนไทยซึ่งเป็นอนาคตของชาติ จึงได้จัดตั้ง “โครงการแว่นตาเพื่อน้อง” ร่วมกับมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา 5 ปีเต็ม โดยโครงการฯ พบว่ามีเด็กอายุระหว่าง 8-18 ปี เป็นจำนวนมากที่มีปัญหาด้านสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือภาวะสายตาสั้น
หลังจากได้ออกหน่วยบริการ ลงพื้นที่ตรวจวัดสายตาให้กับเด็ก พบว่ายังมีเด็กและเยาวชนไทยอีกจำนวนมาก ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือด้านสายตาห้างแว่นท็อปเจริญจึงได้ขอพระราชทานพระราชานุญาตจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการสานต่อโครงการฯ ต่อเนื่องอีก 5 ปี ในปี พ.ศ. 2563 – 2567 ภายใต้แนวคิด “See your dreams” ให้ความฝันเด็กไทยชัดเจนขึ้น เพราะเด็กๆ ทุกคนมีความฝัน การมีสายตาที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กสานฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้ และแว่นตาก็เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้น้องๆ มองเห็นชัดเจน ได้ต่อเติมและเดินหน้าทำตามความฝันของตัวเองจนประสบความสำเร็จ จากเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นดังกล่าวนี้ แว่นท็อปเจริญคาดว่าโครงการฯ จะสามารถให้ความช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาด้านสายตาได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 หมื่นราย ภายในปี พ.ศ.2567
ด้าน ปริยา อังสุวร กรรมการอำนวยการและเหรัญญิก มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย กล่าวว่า “มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย จัดตั้งขึ้นโดยพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย มีหน้าที่ให้การสงเคราะห์เด็กและผู้เยาว์ที่ถูกทอดทิ้ง รวมถึงการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนด้อยโอกาสให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ซึ่งหนึ่งในปัญหาสุขภาพ ที่มูลนิธิฯ พบมาโดยตลอด คือ ปัญหาด้านสายตา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยี เนื่องด้วยเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่เกิดและโตมาในยุคที่เทคโนโลยีและอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ค่อนข้างมาก อาทิ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ รวมถึงสมาร์ทโฟน เข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความบกพร่องตั้งแต่กำเนิดหรือเกิดจากความเสื่อมของร่างกาย ซึ่งยังมีเด็กและเยาวชนอีกเป็นจำนวนมากที่ขาดโอกาสในการรับการดูแลรักษาด้านสายตา มูลนิธิฯ จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ห้างแว่นท็อปเจริญจะสานต่อโครงการฯ ต่อเนื่องอีก 5 ปี เพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนเหล่านี้ให้มีสุขภาพตาที่ดีขึ้น และได้รับการศึกษาได้อย่างเต็มที่อีกด้วย”
ปิดท้ายนายแพทย์นพวุฒิ ตรีพรชัยศักดิ์ จักษุแพทย์และผู้อำนวยการศูนย์รักษาตาท็อปเจริญ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันพบปัญหาทางด้านสายตาในเด็กไทยที่มีอายุระหว่าง 5 – 18 ปี คือ ปัญหาสายตาสั้นเทียม โรคตาเข/ตาเหล่ โดยปัญหาเหล่านี้พบบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเด็กมักใช้สายตาในการมองระยะใกล้มากขึ้น ทั้งการอ่านหนังสือ การทำกิจกรรมในบริเวณที่มีแสงน้อย หรือใช้สายตาสู้แสงแดดจ้า แสงไฟจัด รวมถึงปัญหาสำคัญของเด็กในยุคนี้คือการใช้สายตาสัมผัสกับเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสายตา อีกปัญหาคือเรื่องโรคตาขี้เกียจ ที่มักพบในเด็กเล็กช่วงวัยเตรียมเข้าโรงเรียน ซึ่งโรคดังกล่าวทำให้พัฒนาการทางสมองส่วนการมองเห็นไม่สมบูรณ์ และเป็นผลทำให้ความสามารถในการมองเห็นสิ้นสุดลงในระยะยาว
วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับเด็กๆ และผู้ปกครอง ควรแนะนำลูกหลานให้ความสำคัญในการดูแลและใช้สายตาอย่างเหมาะสม ทั้งการอ่านหนังสือหรือใช้อุปกรณ์ไอทีที่จำเป็น ควรพักสายตา 10 นาทีต่อการใช้งานต่อเนื่อง 30 นาที สำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ไม่ควรใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเกิน 20-30 นาทีต่อครั้งและไม่ควรเกินวันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในที่มืดหรือหน้าจอมีความสว่างมากเกินไป นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนที่เพียงพอ และการพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาอย่างเป็นประจำ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยให้เยาวชนมีสุขภาพดวงตาที่แข็งแรงสมบูรณ์”