ออร์เดิฟ”ขนมไทย”เสิร์ฟคู่ชากาแฟหลังอาหาร ปลอดภัยไร้ไขมันทรานส์

เนื่องจากส่วนผสมหลักมีเพียง กะทิ น้ำตาล ไข่และแป้ง ที่ทำให้ขนมไทยมีรสชาติหวานมัน หรือรสชาติจากเครื่องเทศที่คลุกเคล้าในเนื้อกุ้งหรือหมู แนมกับผักสดพริกขี้หนู ไปกันได้ดีจริงๆ สำหรับของว่างในช่วงที่หิวนิดๆ หรือรองท้องเบาๆ

 

ออร์เดิฟ หรือขนมที่เสิร์ฟเป็นอาหารเบา ๆ ส่วนมากทำเป็นคำ ๆ หยิบกินง่าย ก่อนที่จะเข้าอาหารหลัก ส่วนมากนิยมเป็น ทาร์ตหน้าต่าง ๆ พาย คานาเป้ (ขนมปังชิ้นเล็ก ๆ Top ด้วยหน้าต่าง ๆ เช่นแฮม กุ้ง ) ส่วนออร์เดิฟแบบไทย หยิบกินง่ายเป็นคำ ๆ หมูสร่ง หมูสะเต๊ะ สาคูไส้หมู ข้าวตังเสวย กระทงทอง ช่อม่วง ขนมจีบนก รังนกกุ้งทอด ขนมครก ขนมเบื้อง หมี่กรอบชาววัง ปลาแห้งแตงโม ฟักเขียวต้มโรยปลาแห้งป่นฯลฯ

แล้วก็มาถึง Petti Fours หรือขนมปังและเค้กชิ้นเล็กๆ เพื่อกินคู่กับชาหรือกาแฟ จะเสิร์ฟหลังทานอาหารเสร็จ ซึ่งขนมไทยที่ใช้เสิร์ฟเป็นขนมเพื่อกินคู่กับชาหรือกาแฟ ( หรือจะเป็น Afternoon Tea ก็ได้) มีมากมายล้วนน่ากินทั้งสิ้น เช่น จ่ามงกุฏ ลูกชุบ กลีบลำดวน ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด ขนมต้ม ขนมลืมกลืน ขนมถ้วย วุ้น ข้าวเหนียวหน้าต่าง ๆ ตะโก้ ขนมชั้น ฯลฯ

 

 

ของว่างของหวานไทยที่กล่าวข้างต้น เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง หลังประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกรดไขมันทรานส์ (Trans Fatty Acids) ส่งผลเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ห้ามผลิต นำเข้าและจำหน่าย ทำเอาวงการอุตสาหกรรมอาหารรวมทั้งเบเกอรี่เลิฟเวอร์เกิดอาการช็อคและปั่นป่วนทีเดียว

ความจริงเรื่องอันตรายของกรดไขมันทรานส์นั้น เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางในยุโรปและอเมริกาจนประเทศเหล่านั้นมีกฏหมายให้เลิกใช้โดยเด็ดขาดมานานแล้ว ขณะที่เมืองไทยเพิ่งตื่นตัวและผลจากการประกาศของสาธารณสุขถือเป็นการใช้ยาแรงหยุดทันที หลังจากที่เมืองไทยมีการวิพากษ์เรื่องไขมันทรานส์และมีความเข้าใจผิดมานานหลายปีแล้ว

หลังจากนี้ จะมีผลกระทบกับวงการอาหารและเบเกอรี่ที่ใช้กรดไขมันทรานส์อยู่มาก เช่น เนยขาว เนยเทียม คุ้กกี้ โดนัท วิปครีม ขนมขบเคี้ยว และอาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ ซึ่งคงต้องปรับตัวหาวัตถุดิบอื่น ๆ มาทดแทน

อ.บุญประเสริฐ ว่องประพิณกุล อาจารย์ประจำ Dusit Execellence Center สอนด้านเบเกอรี่และยังเปิดร้านจำหน่ายเค้ก กล่าวถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นว่า

“อุตสาหกรรมอาหาร เบเกอรี่ตลาดล่าง ซึ่งส่วนมากใช้วัตถุดิบที่มีไขมันทรานส์เพราะต้นทุนถูก จะกระทบมากที่สุด บางรายอาจปิดตัวไปเลย บริษัทใหญ่ของเมืองไทยที่ผลิตเนยราคาถูกเข้าสู่อุตสาหกรรมเบเกอรี่ต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ ”

 

 

จากประสบการณ์ในการทำเค้กมากว่า 15 ปี อ.บุญประเสริฐกล่าวเพิ่มเติมว่า ร้านเบเกอรี่ที่รอดส่วนมากคือร้านที่ขายเบเกอรี่ระดับพรีเมี่ยม เพราะส่วนมากใช้เนยจากยุโรปที่มีไขมันทรานส์เป็น 0% ซึ่งเฉลี่ยราคากิโลกรัมละ 600 บาท ขณะที่เนยผลิตในเมืองไทย ราคา 150บาท/กิโลกรัม โดยราคาที่แตกต่างกันมากจะมีผลต่อต้นทุนการผลิตและการตั้งราคาขาย ดังนั้นถ้าไม่มีวัตถุดิบใหม่มาทดแทน จะทำให้ตลาดเบเกอรี่ต้องปรับราคาสูงขึ้นอย่างแน่นอน

ก็คงต้องปล่อยให้อุตสาหกรรมเบเกอรี่ปรับตัวหนีตายกันไป แต่วิกฤตครั้งนี้ถือเป็นโอกาสของขนมไทยจะได้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งสำหรับคนที่ยังอดขนมหวานไม่ได้ และรักสุขภาพ พร้อมทั้งเตรียมส่งความสุขปีใหม่ด้วยขนมไทย ซึ่งปัจจุบันนี้ตกแต่งสวยงามหน้าอลังการไม่แพ้ขนมเค้กเลย อาทิ ขนมชั้นแต่งหน้าด้วยลูกชุบ วุ้น ขนมทองมงคล เป็นต้น

Stay Connected
Latest News