ฟาสต์ รีเทลลิ่ง (Fast Retailing) บริษัทแม่ยูนิโคล่ ประกาศขับเคลื่อนปรัชญา LifeWear = a New Industry ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจให้เชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน ต่อยอดข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากลูกค้ากว่าปีละ 30 ล้านคนทั่วโลก สู่การพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค มุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่สามารถผลิต ขนส่ง และจัดจำหน่ายในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ไปจนถึงสามารถส่งมอบได้ตามเวลาที่ลูกค้าต้องการได้อย่างแท้จริง ช่วยป้องกันการก่อขยะที่ไม่จำเป็น มุ่งสู่การเป็นธุรปิจที่ไร้ขยะได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มร.โคจิ ยาไน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บริษัท ฟาสต์ รีเทลลิ่ง จำกัด กล่าวถึงเป้าหมายการขับเคลื่อนธุรกิจของฟาสต์ รีเทลลิ่ง จากนี้ไปว่า จะมุ่งเน้นผลิตและขายเฉพาะสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ ผ่านการจัดการด้าน Supply Chain Management ให้สามารถดูแลได้ทั้งสิ่งแวดล้อมรวมทั้งเรื่องของสิทธิมนุษยชน โดยที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อนหลายโครงการเพื่อสังคม เช่น เสื้อยืดการกุศล PEACE FOR ALL หรือ The Heart of LifeWear ซึ่งแจกเสื้อยืดเนื้อผ้า HEATTECH และ AIRism ให้กลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้อพยพ เด็ก และผู้ประสบภัยพิบัติไปแล้วกว่า 1 ล้านตัว พร้อมขยายผลโครงการผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรและลูกค้า รวมถึงหน่วยธุรกิจที่กระจายไปทั่วโลกในการสนับสนุนชุมชนโดยรอบในแต่ละพื้นที่ ผ่านการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้พลังทั้งจากผลิตภัณฑ์ ร้านค้าช่องทางจำหน่าย พนักงาน และเครือข่ายทั่วโลกเพื่อมีส่วนสร้างชีวิตที่มั่นคงและสงบสุขให้แก่ผู้คนทั่วโลก
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ของฟาสต์ รีเทลลิ่ง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืน ตามแผนปี 2030 ภายในปีงบประมาณ 2024 ที่ผ่านมา (สิ้นสุด ส.ค. 2024) ประกอบด้วย
การพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และ Product Mix ให้ตอบโจทย์ลูกค้า
– จากการรวบรวมความคิดเห็นลูกค้า (Voice of Customer) มากถึง 31.4 ล้านข้อคิดเห็นจากทั่วโลก รวมทั้งคำแนะนำจากช่องทางขายต่างๆ รวมทั้งคำแนะนำที่มีต่อพนักงานหน้าร้าน ตลอดปีงบประมาณ 2024 เพื่อมาต่อยอดในการพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งได้จัดทำแพลทฟอร์ม “Management Cockpit” ขึ้นตั้งแต่ปี 2566 โดยมีวัตถุประสงค์ในการบูรณาการข้อมูลเพื่อการบริหารงานโดยเฉพาะ เปิดทางให้เสียงสะท้อนของลูกค้าได้รับการรับฟังและนำเสนอเป็นภาพที่ชัดเจนสำหรับการดำเนินธุรกิจทั่วโลกของบริษัทฯ แบบเรียลไทม์ เพื่อการปรับตัวและตอบสนองที่รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าที่เคย
– ความคิดเห็นจากลูกค้าช่วยให้ ฟาสต์ รีเทลลิ่ง พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่มาแล้วมากมาย อาทิ ผ้าถักแบบใหม่ “Souffle Yarn Knit” ที่ได้รับการจดลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทฯ แล้ว รวมถึงเสื้อชั้นในที่ปรับให้ใช้งานได้ดีขึ้น ตลอดจนนวัตกรรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นกางเกงผ้าถักลายนูนที่ซักได้ หรือ PUFFTECH ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างสรรค์มาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า
– จากการให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของลูกค้าทำให้คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับสูง โดยคอลเลคชัน Spring/Summer และ Fall/Winter ได้รับคะแนน 4.5 จาก 5 ขณะที่มีแบบผลิตภัณฑ์หลักที่จำหน่ายได้ทั่วโลกและสร้างรายได้หลักให้แก่ฟาสต์ รีเทลลิ่ง มีมากกว่า 50 แบบ ในปีงบประมาณล่าสุด ซึ่งสูงขึ้นถึง 3 เท่า จากเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่เริ่มมีโครงการอาริอาเกะ หรือโครงการปฏิรูปธุรกิจ
– ฟาสต์ รีเทลลิ่ง สามารถลดหรือป้องกันการผลิตสินค้าที่ไม่จำเป็น ตลอดจนค่อยๆ พัฒนาการดำเนินธุรกิจแบบที่เน้นผลิตเฉพาะสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากที่สุดเท่านั้น รวมทั้งการปรับขยายหมวดผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับการใช้งานได้ตลอดทั้งปีและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น เช่น การคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แทนที่จะเน้นผลิตสินค้าตามฤดูกาลแบบดั้งเดิม เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดขยะขึ้นในธุริจ หรือการก้าวเข้าสู่โมเดลธุรกิจแบบไร้ขยะได้อย่างเต็มตัว
บริหารระบบผลิตและโลจิสติกส์ที่เน้นผลิต ขนส่ง และขายเฉพาะสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ในเวลาที่เหมาะสมและปริมาณที่ตรงตามความต้องการที่สุด
– พัฒนาระบบคาดการณ์ความต้องการ พร้อมวางแผนจำหน่ายให้แม่นยำมากขึ้น รวมทั้งการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับฝ่ายผลิตเพื่อปรับแผนการผลิตตามความต้องการได้รายสัปดาห์ เพื่อลดปริมาณการสต็อกวัตถุดิบที่จำเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรองรับการผลิตแม้เวลาที่ได้รับแจ้งล่วงหน้าจะสั้นลง
– ด้านโลจิสติกส์ ฟาสต์ รีเทลลิ่งจับมือกับพันธมิตรด้านการขนส่งเพื่อขับเคลื่อนให้การจัดส่งไวขึ้น และประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้นแม้เวลาที่ได้รับแจ้งล่วงหน้าจะสั้นลงด้วยเช่นกัน รวมทั้งระบบคลังสินค้าอัตโนมัติช่วยให้สามารถจัดส่งผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นให้ร้านค้าได้ตามปริมาณที่ต้องการ ถือเป็นการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบริหารสินค้าคงคลังสู่ระดับสูงสุด
เร่งขับเคลื่อนความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่
ปีงบประมาณ 2023 ที่ผ่านมา ฟาสต์ รีเทลลิ่ง สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 69.4% ในส่วนของร้านค้าหรือสำนักงาน เมื่อเทียบกับปีฐาน 2019 โดยวางเป้าหมายในปี 2030 ที่ตั้งใจจะลดให้ได้ 90% พร้อมเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนได้แล้ว 67.6% จากเป้าหมาย 100% ในปี 2030
รวมทั้งการขยาย RE.UNIQLO STUDIO ที่เปิดตัวในปี 2022 ได้ขยายแล้วรวม 51 แห่ง ใน 22 ประเทศทั่วโลก (ณ เดือน ต.ค. 2024) โดยตั้งเป้าขยายให้ได้ 60 แห่ง ภายในสิ้นปี 2024 รวมทั้งเริ่มทดลองโมเดลขายเสื้อผ้ามือสองในญี่ปุ่น โดยมีสาขาที่เริ่มบุกเบิกการให้บริการนี้ คือ ร้าน UNIQLO Setagaya Chitosedai และ UNIQLO Tenjin รวมทั้งการขยายมาสู่ UNIQLO Maebashi Minami IC ในช่วงปลายปี 2023
ในส่วนของ Supply Chain สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้แล้ว 10% โดยคาดว่าจากนี้ไปจะสามารถเพิ่มอัตราเร่งการลดการปลดปล่อยลงได้เพิ่มมากขึ้น จากการเปลี่ยนอุปกรณ์ในโรงงาน และเพิ่มวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยปัจจุบันมีการใช้วัสดุที่เป็น Low Carbon Emission เช่น วัสดุรีไซเคิล ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็น 18.2% จาก 8.5% ในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มโพลีเอสเตอร์ ที่มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบจากวัสดุรีไซเคิลสูงถึง 47.4% โดยเครื่องแบบทางการของคณะกรรมการโอลิมปิกและพาราลิมปิกแห่งชาติสวีเดน ถือเป็นเสื้อผ้าชุดแรกที่ผลิตจากโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล จากวัตถุดิบรีไซเคิลที่ยูนิโคล่จัดเก็บเอง ซึ่งปัจจุบัน ฟาสต์ รีเทลลิ่ง กำลังเดินหน้าทำการวิจัยและพัฒนาระบบรีไซเคิลเสื้อผ้าเก่าเพื่อผลิตเสื้อผ้าใหม่โดยตรงอย่างจริงจัง
ฟาสต์ รีเทลลิ่ง ยังเดินหน้าขยายเครือข่าย “วัสดุยั่งยืน” ตลอดจนคำนึงถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้น้ำ ความหลากหลายทางชีวภาพ สิทธิมนุษยชนและสวัสดิการสัตว์ในทุกกิจกรรมของบริษัทฯ โดยได้เริ่มจัดทำกรอบการดำเนินงานใหม่เพื่อกำหนดมาตรฐานสำหรับวัสดุแต่ละชนิดทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ สำหรับปีงบประมาณใหม่ โดยการจัดทำมาตรฐานสำหรับฝ้ายเสร็จสิ้นแล้วและจะนำไปใช้ในการผลิตตั้งแต่ปีงบประมาณ 2026 เป็นต้นไป พร้อมทั้งได้ประกาศให้ฝ้ายช่วยฟื้นฟูดินเป็นวัสดุเพื่อความยั่งยืนตั้งแต่ปีงบประมาณนี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) สำหรับวัตถุดิบที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิต โดยจะเริ่มนำร่องในกลุ่มฝ้าย ก่อนจะขยายการยกระดับไปสู่วัตถุดิบชนิดอื่นๆ เช่น แคชเมียร์หรือขนสัตว์ พร้อมทั้งการจัดทำหลากหลายโครงการเพื่อสร้างความร่วมมือระยะยาวกับโรงงานต้นน้ำ อาทิ โรงงานเส้นด้าย โดยได้เริ่มตรวจสอบที่มาแคชเมียร์ย้อนกลับ สำหรับผลิตภัณฑ์แคชเมียร์ทั้งหมดตั้งแต่คอลเลคชันฤดูกาล 2024 Fall/Winter เป็นต้นไป ด้วยการตรวจสถานที่ล้างและปั่นเส้นใยเป็นระยะๆ ซึ่งปัจจุบันกำลังจัดทำกรอบการดำเนินงานในลักษณะเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ที่ทำจากขนสัตว์ด้วย