หาดทิพย์ เปิดโรงงานพุนพิน โชว์ศักยภาพด้านเทคโนโลยีการผลิตที่ยั่งยืน ทั้งบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก พร้อมระบบปฏิบัติงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านงบลงทุนต่อเนื่องเกือบ 3,500 ล้านบาท ทั้งขยายคลังสินค้าเพิ่มเติม สร้างบ้านพักพนักงาน พร้อมเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนจาก 19% เป็น 28% เร่งลด GHG Emission ตามแผน Net Zero 2050 เตรียมนำร่องพัฒนาโมเดลสร้าง Full Circularity ในพื้นที่ภาคใต้
บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ HTC ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ ‘โคคา-โคล่า’ และผู้นำตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอลล์ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ เปิดโรงงานพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภายใต้งบลงทุนต่อเนื่องถึงปี 2025 รวมเกือบ 3,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตขวดแก้วที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีเทคโนโลยีการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย ของแบรนด์เครื่องดื่มระดับโลกอย่าง ‘โคคา-โคล่า’ รวมทั้งมีระบบ Operation และการดูแลทั้งพนักงานและชุมชนอย่างยั่งยืน โดยมีพันธกิจสร้างความเติบโตทางธุรกิจเคียงคู่การพัฒนาสังคมของภาคใต้อย่างยั่งยืนตลอด 55 ปี และขับเคลื่อนผ่านปรัชญา ‘หาดทิพย์ เคียงข้างชาวใต้’
โรงงานพุนพิน ตั้งอยู่บนพื้นที่ 315 ไร่ เริ่มเปิดดำเนินการในปี 2013 เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจและให้บริการผู้บริโภคในภาคใต้ตอนบนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งอนาคตจะเป็นฐานการผลิตสำคัญของหาดทิพย์แทนโรงงานหาดใหญ่ ภายใต้สายการผลิต 6 ไลน์ และกำลังการผลิตที่สามารถรองรับการเติบโตของตลาดไปได้จนถึงปี 2028 -2035 โดยปัจจุบันสามารถรองรับการผลิตขวดพลาสติก PET ได้ 2.5 ล้านขวดต่อนาที กระป๋องอลูมิเนียม 600 กระป๋องต่อนาที และขวดแก้ว 800 ขวดต่อนาที รวมทั้ง Fountain หรือเครื่องดื่มเข้มข้น สำหรับจ่ายผ่านเครื่องกด ที่สามารถผลิตได้กว่า 1.6 แสนกล่องต่อปี (ขนาดบรรจุตั้งแต่ 5-20 ลิตร)
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องจักรผลิตหลอดพลาสติก หรือ Preform สำหรับเป่าขึ้นรูปเป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติก PET ขนาดต่างๆ 1 พันล้านชิ้นต่อปี รวมทั้งพื้นที่ Warehouse ขนาดกว่า 22,000 ตารางเมตร ที่สามารถจัดเก็บสินค้าได้กว่า 2 ล้านลัง
ขณะที่ Ecosystem ของหาดทิพย์ ในพื้นที่ภาคใต้ ประกอบด้วย โรงงาน 2 แห่ง คือ โรงงานหาดใหญ่ และโรงงานพุนพิน โดยมีศูนย์กระจายสินค้าและร้านค้าเอ้าท์เล็ทมากกว่า 46,000 แห่ง รวมทั้งรถบรรทุกในการกระจายสินค้ากว่า 200 คัน และรถหัวลากอีกกว่า 60 คัน
ในส่วนของการดูแลชุมชนและสังคม หาดทิพย์ดูแลพนักงานมากกว่า 2,500 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพี่น้องชาวใต้ รวมทั้งการดูแลบำบัดน้ำกว่าปีละ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 228 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง เพื่อให้มีความปลอดภัยสูงสุดก่อนปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ รวมทั้งใช้หลักการธรรมชาติในการกำจัดขยะชีวภาพที่ปนมากับน้ำจากกระบวนการผลิต เพื่อให้ตกตะกอนและย่อยสลายในบ่อบำบัด ก่อนจะทำการตรวจค่าวัดความปลอดภัยก่อนปล่อยสู่ธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้มากกว่าการบำบัดตามแนวทางเดิมๆ ทำให้ลดทั้งการใช้พลังงานซึ่งลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ 350 ตันคาร์บอนเมื่อเทียบกับวิธีบำบัดแบบเดิม และยังช่วยส่งเสริมให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ได้ด้วย
ลงทุน 3,500 ล้าน ยกระดับการผลิตยั่งยืน
การลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานพุนพินของหาดทิพย์ ไม่เพียงแค่เหตุผลทางการตลาดและธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการขับเคลื่อนเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะการมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาวิกฤตสภาพอากาศ (Climate Chamge) ด้วยการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emission) จากการดำเนินงาน โดยหาดทิพย์วางเป้าหมายลด GHG Emission ตลอดห่วงโซ่ลงให้ได้ 25% ภายในปี 2030 และมุ่งสู่ Net Zero Emission ภายในปี 2050
คุณจอห์น เบเนเดตตี รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการอาวุโส – ซัพพลายเชน บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง การลงทุนของหาดทิพย์จนถึงสิ้นปีนี้ภายใต้งบ 3,000 ล้านบาท เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานให้สอดคล้องแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสินค้าและบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งแพลตฟอร์มดิจิทัลหรือ Dashboard สำหรับประเมินผลการลดการใช้พลังงานและลด Emisison จากกระบวนการผลิตได้แบบเรียลไทม์ จนถึงการลงทุนเพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียน ทั้งในรูปแบบของโซลาร์รูฟ และโซลาร์โฟลทติ้งรวมมากกว่า 9 พันแผง ทำให้ปัจจุบันมีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนได้แล้ว 19% พร้อมช่วยลดคาร์บอนลงได้กว่า 3 พันตันคาร์บอนต่อปี
พร้อมมีแผนลงทุนต่อเนื่องในปีหน้าอีกอย่างน้อย 490 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในพื้นที่โรงงานเพิ่มเติม ทั้งการขยายคลังสินค้าแห่งใหม่ 300 ล้านบาท รวมทั้งการสร้างบ้านพักพนักงานที่จะออกแบบภายใต้ Eco-friendly Design อีกราว 190 ล้านบาท พร้อมเพิ่มการติดตั้งโซลาร์รูฟบนหลังคาอาคารทั้ง 2 แห่ง รวมทั้งการขยายโซลาร์โฟลทติ้งในทะเลสาบบริเวณใกล้โรงงานรวมทั้งสิ้นอีกราว 3 พันแผง ทำให้สามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเป็น 28% พร้อมทั้งลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เพิ่มขึ้นอีก 2 พันตันคาร์บอนต่อปี
“ในส่วนของบรรจุภัณฑ์เป็นอีกหนึ่งส่วนที่มีพัฒนาในการลด GHG Emission ได้แบบก้าวกระโดด ตั้งแต่การลดพลาสติกสำหรับการผลิตฝาลง 0.64 กรัม และสำหรับหลอดพรีฟอร์มลดลง 1.11 กรัม ซึ่งหาดทิพย์เป็นโรงงานผลิตโคคา -โคล่า รายแรกของเอเชียที่พัฒนาเทคโนโลยีนี้ได้สำเร็จ และสามารถนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มอัดลมได้ทุกประเภท พร้อมทั้งช่วยลดคาร์บอนจากการผลิตพรีฟอร์มลงได้ 2 พันตันต่อปี ซึ่งถือเป็นหนึ่งจุดที่มีคาร์บอนฟุตพรินท์สูงที่สุดในกระบวนการผลิตของหาดทิพย์ รวมทั้งการลดใช้ปริมาณพลาสติกทั้ง PET และ HDPE ไปจนถึงอลูมิเนียมสำหรับเครื่องดื่มแบบกระป๋อง โดยคาดว่าจะส่งผลให้สามารถลดปริมาณคาร์บอนจากการใช้วัตถุดิบของบรรจุภัณฑ์ในสิ้นปีหน้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 8 พันตันคาร์บอนเทียบเท่าต่อปี”
นอกจากนี้ โรงงานพุนพินยังถือเป็นฐานการผลิตขวดแก้วรักษ์โลกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และรองรับทั้งบรรจุภัณฑ์แบบคืนขวด รวมทั้งแบบใช้ครั้งเดียว รวมทั้งยังสามารถผลิตเครื่องดื่มบรรจุขวดแก้วได้ทุกประเภท โดยได้เริ่มเดินสายผลิตล็อตแรกเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา และจะเดินหน้าผลิตเต็มกำลังภายในไตรมาส 2 ปีหน้า พร้อมทั้งจะทยอยย้ายฐานการผลิตขวดแก้วจากโรงงานหาดใหญ่มาสู่พุนพินทั้งหมดในปีหน้า
สำหรับฐานผลิตขวดแก้วที่โรงงานพุนพินนี้ ถือว่ามีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดกระบวนการผลิต ทั้งการใช้เทคโนโลยีเพื่อสามารถบรรจุเครื่องดื่มได้ในอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้ลดการใช้พลังงานในการลดอุณหภูมิลง รวมทั้งเทคโนโลยีในการตรวจจับขวดที่ชำรุดและสิ่งแปลกปลอม การทำความสะอาดขวดด้วยระบบอัลต้ราโซนิค รวมทั้งการออกแบบสายพานที่ช่วยลดการเกิดมลภาวะทางเสียง รวมทั้งลดโอกาสชำรุดจากการกระแทกกันของขวด พร้อมทั้งการเปลี่ยนมาใช้ฉลากแบบกระดาษแทนเพื่อง่ายต่อการนำไปรีไซเคิลได้มากขึ้น ทั้งในส่วนของกระดาษ รวมทั้งการปนเปื้อนสีหรือสารเคมีของขวดแก้วในกรณีที่ต้องนำไปรีไซเคิล ไปจนถึงการออกแบบลังบรรจุขวดแบบปกปิดทั้งขวด เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของขวดได้มากขึ้น เพื่อลดการชำรุดและสามารถนำไปใช้ซ้ำได้โดยไม่จำกัด
ตั้งเป้าขับเคลื่อน Full Circularity ในพื้นที่ภาคใต้
คุณนันทิวัต ธรรมหทัย รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ – องค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าในการใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิล โดยเฉพาะพลาสติก rPET ซึ่งปัจจุบันได้ใช้ rPET 100% (ไม่รวมฉลากและฝา)ในผลิตภัณฑ์โคคา-โคล่า ขนาด 1 ลิตร ทั้งสูตรออริจินัล และสูตรไม่มีน้ำตาลแล้ว พร้อมทั้งเข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนโครงการเพื่อส่งเสริมการนำบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล โดยร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรต่างๆ ผ่านแคมเปญ “โค้ก” ชวนแยก แลกลุ้นโชค กับ Trash Lucky ในจังหวัดภูเก็ตและสงขลา และโครงการประกวดชั้นวางสินค้าจากวัสดุรียูส รวมถึงจัดโครงการส่งเสริมผลิตภัณฑ์เครื่องจักสานจากฝาขวดพลาสติกร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นให้ผู้บริโภคร่วมลดและแยกขยะอย่างจริงจัง
ในส่วนการขยายการใช้บรรจุภัณฑ์จาก rPET นั้น อยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับพันธมิตรในพื้นที่ เพื่อหาโมเดลในการขับเคลื่อนให้เกิด Full Circularity หรือการหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบภายในพื้นที่ภาคใต้อย่างแท้จริง ทั้งการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมทั้งการนำส่งให้พันธมิตรผู้ผลิตเม็ดพลาสติกเรซินรีไซเคิลที่อยู่ในพื้นที่ มากกว่าการรับซื้อเม็ดพลาสติกจากนอกพื้นที่มาใช้ ซึ่งอยู่ระหว่างการผลักดันให้เกิดโครงการนำร่องขึ้นในพื้นที่ เพื่อต้องการสร้างให้เกิดประโยชน์ขึ้นในพื้นที่อย่างแท้จริง ก่อนจะขยายไปสู่การใช้ในบรรจุภัณฑ์อื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคตต่อไป
“เพราะภาคใต้คือบ้านของหาดทิพย์ นอกจากการพัฒนาความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ เรายังเดินหน้าพัฒนาชุมชนเพื่อเติบโตเคียงคู่ไปกับพี่น้องชาวใต้ เราเชื่อมั่นว่าความสำเร็จทางธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมต้องดำเนินไปพร้อมกัน พนักงานหาดทิพย์ทุกคนจึงภาคภูมิใจที่ได้ส่งมอบความสดชื่นและส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของชุมชนร่วมกับพี่น้องชาวใต้” คุณนันทิวัต กล่าวทิ้งท้าย