แม้ในช่วงที่ผ่านมา จะมีการรณรงค์และส่งเสริมการลอยกระทงดิจิทัล หรือลอยภายในพื้นที่ปิด เพื่อสะดวกในการจัดเก็บ และช่วยลดปริมาณขยะจากกระทงที่จะตกค้างเป็นขยะอยู่ในธรรมชาติ
รวมไปถึงการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้กระทงจากวัสดุธรรมชาติ ซึ่งในประเด็นนี้ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี เพราะในช่วงเทศกาลลอยกระทงปีหลังๆ มานี้ ปริมาณการใช้กระทงโฟมลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยกระทงส่วนใหญ่กว่า 90% ที่คนนำมาลอยจะเป็นกระทงที่ทำด้วยวัสดุจากธรรมชาติ แต่ในส่วนของสถานที่ลอย พบว่าประชาชนบางส่วนยังคงลอยในแม่น้ำ ลำคลอง รวมถึงทะเลอยู่
สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI จึงผสานความร่วมมือ 3 ภาคส่วนสำคัญ เทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี และกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ร่วมกันเก็บและแยกขยะกระทง ณ ชายหาดบางแสน พร้อมเปิดเผยข้อมูลจากกิจกรรมเก็บขยะหลังวันลอยกระทงของปี 2567 นี้ โดยพบปริมาณขยะกระทงรวม 387 กิโลกรัม หรือ 90% ของปริมาณขยะทะเลทั้งหมดที่กลุ่มอาสาสมัครเก็บได้ ในรุ่งเช้าหลังจากคืนวันลอยกระทง ซึ่งมีปริมาณขยะที่เก็บได้ทั้งหมดรวม 430 กิโลกรัม
ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) กล่าวว่า “แม้ว่าในปีนี้ประชาชนจะตระหนักรู้และหันมาใช้กระทงจากวัสดุจากธรรมชาติกันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่วัสดุจากธรรมชาติที่ประดิษฐ์กระทงเป็นเพียงวัสดุหลัก เช่น ใบตอง หยวกกล้วย ดอกไม้ เศษขนมปัง และเปลือกข้าวโพด ในขณะที่วัสดุอื่นที่ใช้ทำกระทง รวมถึงวัสดุตกแต่งยังคงเป็นวัสดุที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทะเลและชายฝั่งและทำลายสัตว์น้ำ ไม่ว่าจะเป็น ตะปู เข็มหมุด เศษเทียน ไม้เสียบ ก้านธูป และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทั้งนี้ ยังพบการใช้ ตะปู เข็มหมุด ที่เกินความจำเป็น เช่น บางกระทงมีจำนวนกว่า 100 ชิ้น ขณะเดียวกันขยะกระทงจำนวนมหาศาลได้เพิ่มความยากลำบากในการจัดเก็บและจัดการ ซึ่งการเก็บขยะครั้งนี้ทาง TEI ได้ร่วมออกแบบรูปแบบและแนวปฏิบัติที่ดีหลังค่ำคืนลอยกระทง โดยออกแบบกระบวนการเก็บ คัดแยก และจัดการหลังเก็บ ให้เกิดการนำไปหมุนวนใช้ประโยชน์ใหม่และง่ายต่อการกำจัด พร้อมมีข้อมูลเผยแพร่สร้างความตระหนักรู้ สนับสนุนการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดและเป็นแผนปฏิบัติอย่างยั่งยืน
สำหรับปริมาณขยะหลังวันลอยกระทงครั้งนี้ สามารถเก็บขยะได้มากกว่า 430 กิโลกรัม เป็นขยะกระทงมากถึง 9o% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระทงจากวัสดุธรรมชาติ และจากการแยกขยะกระทง 42 กิโลกรัม พบวัสดุต่างๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและสัตว์ทะเลมากถึง 6 กิโลกรัม (ราว 14% ของกระทงที่แยก)
ในจำนวนนี้เป็น ตะปู เข็มหมุด ลูกแม็ก 3 กิโลกรัม ( 10%) ขณะที่ขยะอื่นๆ จากกิจกรรมท่องเที่ยวหลังคืนวันลอยกระทง ส่วนใหญ่เป็น เศษไม้ ตะเกียบไม้ ลูกมะพร้าว และเปลือกผลไม้ 19 กิโลกรัม (33%) รองลงมาเป็นถุงพลาสติก กล่องพลาสติก ช้อน-ส้อมพลาสติก และหลอด 16 กิโลกรัม (29%) เศษอาหาร 11 กิโลกรัม (20%) และขวดพลาสติก 9 กิโลกรัม (16%)
ที่น่าตกใจยังพบขยะอันตรายอย่างเศษพลุ กระดาษห่อพลุ ก้นบุหรี่ รวมถึงวัสดุบรรจุพลุมากถึง 4 กิโลกรัม (7%) และไฟแช็ค 2 กิโลกรัม (3%) ซึ่งขยะเหล่านี้เป็นพิษต่อระบบนิเวศทางทะเลทั้งสิ้น
ทั้งนี้ การดำเนินการเพื่อจัดการเศษวัสดุต่างๆ ที่พบจากเทศกาลลอยกระทงข้างต้นนี้ จะนำไปจัดการตามประเภทโดยคำนึงถึงการหมุนวนใช้ประโยชน์สูงสุด เช่น
– กลุ่มขวดพลาสติกใส ขวดแก้ว และกระป๋อง นำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน และฝาขวดพลาสติก นำไป Upcycle ผ่านกลุ่มบางแสนคอลเลคชั่น
– กลุ่มถุงพลาสติก ถุงหูหิ้ว ถุงขนม ถุงสายเดี่ยวแก้วน้ำ กล่อง-แก้วพลาสติก โฟม หลอด ช้อน/ส้อมพลาสติก รองเท้า ฟองน้ำ เศษยาง ที่สกปรกและปนเปื้อน ส่งให้เทศบาล ส่งต่อไปเป็นขยะเชื้อเพลิง
– เศษอาหาร เทศบาลส่งให้กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ ส่วนขยะอินทรีย์อื่น ๆ เช่น ลูกมะพร้าว เศษไม้ ตะเกียบไม้ ใบไม้ ใบตอง รวมทั้งกล่อง-ถ้วยชานอ้อย เทศบาลนำไปทำปุ๋ย แจกจ่ายให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์ และกลุ่มไฟแช็ค เศษพลุ ก้นบุหรี่ ขยะที่มีสารเคมี รวบรวมส่งให้เทศบาล ส่งต่อกำจัดอย่างถูกวิธี
ดร.วิจารย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขยะไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลหรือกิจกรรมต่างๆ เท่านั้น แต่เกิดขึ้นได้ทุกวัน โดยเฉพาะขยะพลาสติกที่ทำให้เกิดมลพิษทางทะเลและส่งผลกระทบต่อสัตว์มากที่สุด พร้อมชวนให้ประชาชนตระหนักและเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมโดยช่วยกันปรับเปลี่ยน พฤติกรรมในชีวิตประจำวันทั้งการลดขยะตั้งแต่ต้นทาง พร้อมคัดแยกขยะก่อนทิ้งเพื่ออำนวยความสะดวกให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการต่อ รวมทั้งคำแนะนำสำหรับเทศกาลลอยกระทงในปีหน้า ควรมีมาตรการห้ามใช้เข็มหมุด ตะปู หรือคลิบเป็นส่วนประกอบของกระทง เพราะเป็นการทำลายระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งหากไม่สามารถจัดเก็บได้หมดก็จะเป็นปัญหาต่อสภาพแวดล้อม