การสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มประสิทธิภาพภายในห่วงโซ่ธุรกิจ หรือ ซัพพลายเชน (Supply Chain) เป็นประเด็นที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืน โดยเฉพาะเป้าหมายในการบรรลุ Net Zero ขององค์กร ในสโคป 3 ซึ่งถือเป็นส่วนที่ ‘ยาก’ และ ‘ใหญ่’ ทั้งในเชิงปริมาณสัดส่วนการปลดปล่อยคาร์บอนที่มากกว่า Emission ที่เกิดขึ้นในสโคป 1 และ 2 หลายเท่าตัวทีเดียว
ประกอบกับการเข้าไปยกระดับ ปรับปรุงกระบวนการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มทั้งประสิทธิภาพในเชิงการลด Carbon Emission ขณะเดียวกันยังเพิ่มความสามารถในการลดต้นทุน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในเชิง Performance ให้ธุรกิจแข็งแกร่งได้ตลอดทั้งห่วงโซ่ รวมทั้งการส่งต่อให้เกิดความยั่งยืนในมิติทางสังคมผ่านแนวทาง Green Procurement เพื่อเป็นซัพพลายเชนที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้ทั้งมิติสิ่งแวดล้อม การดูแลสังคม และการสร้างธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจ ตามกรอบ ESG ที่ปัจจุบันอาจจะยังเป็นการขับเคลื่อนแบบสมัครใจ แต่เชื่อว่าจะมีความเข้มข้นไปสู่การบังคับใช้ในอนาคต
ซึ่งบทบาทเหล่านี้คือ สิ่งที่ ‘เครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย’ หรือ TSCN (Thailand Supply Chain Network) พยายามขับเคลื่อนมาโดยตลอด จากการนำร่องจับมือกันของ Key Partner ของไทยเบฟเวอเรจ จำนวน 9 ราย ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน), บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) , บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จํากัด (มหาชน), บริษัท ไทย เบเวอร์เรจ แคน จํากัด, บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป จํากัด (มหาชน) ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่าย TSCN มาตั้งแต่ปี 2019 จนปัจจุบันมีองค์กรสมาชิกในเครือข่ายราว 1,500 บริษัท ซึ่งครอบคลุมจำนวนธุรกิจทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็กรวมกันภายในห่วงโซ่ธุรกิจไม่ต่ำกว่า 5 พัน – 1 หมื่นราย
คุณต้องใจ ธนะชานันท์ ผู้อำนวยการคณะจัดงาน SX 2024 และเลขานุการคณะทำงาน TSCN กล่าวว่า หน้าที่สำคัญของเครือข่ายคือ การทำให้ทั้งห่วงโซ่ธุรกิจแข็งแรงและเติบโตได้ท้ัง Ecosystem ไม่มีส่วนใดของห่วงโซ่ที่เป็นจุดอ่อน ซึ่งอาจกระทบต่อความแข็งแรงและมั่นคงของทั้งห่วงโซ่ได้ในที่สุด ผ่านการส่งเสริมภายใต้ 3 แนวทาง ประกอบด้วย
– Protecting the Value : เพื่อปกป้องและรักษามูลค่าและความแข็งแกร่งทางธุรกิจไว้ เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนธุรกิจ หรือมีการเติบโตได้ต่อเนื่อง
– Creating the Value : ผ่านการสร้างมูลค่าและคุณค่าเพิ่มเติมให้เกิดขึ้นภายในห่วงโซ่ เช่น การพัฒนาความร่วมมือต่างๆ ภายในห่วงโซ่ การพัฒนาหรือลงทุนในบางโปรเจ็กต์ร่วมกัน รวมท้ังการแชร์ทรัพยากรบางอย่างร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น
– Innovating the Value : การพัฒนาสิ่งใหม่ หรือเครื่องมือใหม่เพื่อช่วยยกระดับได้ทั้งห่วงโซ่ เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อแชร์องค์ความรู้ นวัตกรรม หรือการ่วมพัฒนาทักษะต่างๆ รวมท้ังการจับคู่ทางธุรกิจสำหรับผู้ที่มีนวัตกรรมหรือโมเดลธุรกิจให้กับผู้ประกอบการในการขยายความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ เป็นต้น
“ในต่างประเทศ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ที่อุตสาหกรรมมีความแข็งแกร่งมากๆ เนื่องจากการขับเคลื่อนและพัฒนาร่วมกันไปทั้งอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการไปขยายตลาด หรือการไปศึกษานวัตกรรมต่างๆ และมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดแลกเปลี่ยนแนวคิด หรือองค์ความรู้ต่างๆ ระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในยุคที่โลกขับคลื่อนสู่เรื่องความยั่งยืน หากไม่สามารถเปลี่ยนผ่านซัพพลายเออร์ในห่วงโซ่ให้มองในทิศทางเดียวกันได้ องค์กรใหญ่ต่างๆ ก็ไม่สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายได้เองเพียงลำพัง ดังนั้น การพัฒนาความแข็งแกร่งของซัพพลายเออร์ หรือ SME รายย่อยในห่วงโซ่จึงเท่ากับเป็นการสร้างความแข็งแกร่งและลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจขององค์กรใหญ่ไปพร้อมกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อม สังคม รวมทั้งการรักษาธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจ”
ด้าน คุณอรทัย พูลทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจต่อเนื่องประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันเราได้ยินคำว่า ‘Supply Chain Disruption’ บ่อยมากขึ้น จากการขับเคลื่อนสู่โลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอน และเต็มไปด้วยความกังวลต่อหลายปัจจัยเสี่ยง ทั้งปัญหาสภาพภูมิอากาศ ภูมิรัฐศาสตร์ และภูมิศาสตร์ทางการเมือง ดังนั้น ธุรกิจจึงต้องร่วมกันฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกัน ภายในซัพพลายเชนเพื่อมีความสามารถในการปรับตัว ยังคงสามารถผลิตสินค้าเพื่อกระจายให้กับตลาดได้อย่างต่อเนื่อง แม้อยู่ในช่วงสถานการณ์เปราะบาง เพราะการเพิ่มความแข็งแรงในจุดที่ยังเสี่ยงและมีความเปราะบาง จะเป็นการเพิ่มศักยภาพของธุรกิจในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มสปีดของการพัฒนาได้เร็วมากขึ้น ผ่านการเรียนรู้ และการแชร์ Best Practice ร่วมกัน เพื่อนำมาซึ่งประสิทธิภาพที่มากกว่า รวมท้ังลดการใช้ทรัพยากรมากกว่าการทำคนเดียว หรือต่างคนต่างทำ เพราะเป้าหมาย ไม่ใช่เพียงการช่วยให้ซัพพลายเออร์ในห่วงโซ่แข็งแรงเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้ธุรกิจได้ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำได้อย่างแท้จริงด้วย
ยกระดับ ‘ความยั่งยืน’ ตลอดห่วงโซ่
ในปีนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ทางเครือข่าย TSCN จัดงานมอบรางวัล SX TSCN Sustainability Award ให้ซัพพลายเออร์ภายในห่วงโซ่ ภายใต้ความร่วมมือกับงาน Sustainability Expo 2024 (SX 2024) โดยการให้ทั้ง 9 บริษัท Co-founder คัดเลือกองค์กรในเครือข่ายที่สามารถขับคลื่อนงานด้านความยั่งยืนให้เห็นผลจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้เกณฑ์การประเมินจาก Positive Impact ที่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ภายใน Ecosystem ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลของธุรกิจ รวมทั้งการเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพทางธุรกิจให้กับองค์กรของตัวเองได้ โดยมี 48 บริษัทที่ได้รับคัดเลือกภายในปีแรกนี้ จากการขับเคลื่อนหรือพัฒนาโปรเจ็กต์ รวมทั้งพัฒนาประสิทธิภาพกระบวนการทางธุรกิจต่างๆ เช่น
– บริษัท บังกี้ จำกัด (คัดเลือกโดย CPF) ที่พัฒนาโครงการระบบตรวจสอบย้อนกลับ บนเทคโนโลยีบล๊อคเชนเพื่อติดตามที่มาถั่วเหลืองจากแหล่งปลูก ที่ไม่บุกรุกป่า เพื่อช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายห่วงโซ่อุปทานปลอดการตัดไม้ทำลายป่า 100%
– บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (คัดเลือกโดย ThaiBev) จากการขับเคลื่อนโครงการกล่องหมุนเวียน เพื่อช่วยจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยการใช้ซ้ำกล่องกระดาษลูกฟูกที่ยังอยู่ในสภาพดี เพื่อช่วยทั้งลดการใช้ทรัพยากรใหม่ ทั้งกระดาษ และพลังงาน รวมทั้งลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัดด้วย
– บริษัท เค.เอฟ.พาราวูด จำกัด (คัดเลือกโดย BJC) จากโครงการบรรจุภัณฑ์ไม้ยั่งยืน ที่เน้นการออกแบบและผลิตพาเลทไม้โดยใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
– บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (คัดเลือกโดย GC) จากกระบวนการ Waste Management ครบวงจร ทั้งการบำบัด การกำจัดของเสีย และการนำของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ในรูปแบบต่างๆ เช่น ผลิตพลังงานจากขยะและการทำเชื้อเพลิงผสม โครงการนี้ช่วยลดปริมาณของเสียที่ต้องฝังกลบ และสนับสนุนการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
– บริษัท แรบบิท แคช จำกัด (คัดเลือกโดย Srithai)ในการส่งเสริมความรู้ทางการเงินเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตพนักงาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตพนักงาน ผ่านการวางแผนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ ลดภาระหนี้สิน และความเครียด ซึ่งตอบโจทย์มิติด้าน Social ทั้งการดูแลความเป็นอยู่ของพนักงาน รวมทั้งยังเสริมความเข้มแข็งให้องค์กรในระยะยาว
– บริษัท ยูเอซีเจ (ประเทศไทย) จำกัด (คัดเลือกโดย TBC) จากโครงการรีไซเคิลกระป๋องอลูมิเนียมหมุนเวียนแบบวงปิด (Closed Loop) สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนจากการรีไซเคิลกระป๋องอลูมิเนียมใช้แล้ว ช่วยลดการถลุงแร่อลูมิเนียมที่ใช้พลังงานและปลดปล่อยคาร์บอนตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์มหาศาล โดยปัจจุบัน ลดการใช้อลูมิเนียมลงได้กว่า 7,000 ตัน โดยคาดว่าในปีหน้าจะลดได้เพิ่มเป็น 1 หมื่นตัน
– บริษัท ทีพีเอ็น แพคเกจจิ้ง จำกัด (คัดเลือกโดย Thai Union) จากการขับเคลื่อน Green Procurement เน้นปฏิบัติตามนโยบายจัดหาวัตถุดิบและสินค้าที่คำนึงถึงความยั่งยืน โดยปฏิบัติตามจรรยาบรรณทางธุรกิจและหลักปฏิบัติด้านแรงงานอย่างเคร่งครัด ส่งเสริมซัพพลายเออร์และคู่ค้าปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) รวมถึงการเคารพสิทธิมนุษยชน การจ้างงานอย่างเป็นธรรม และการจัดการทรัพยากรอย่างรับผิดชอบ ซึ่งช่วยสร้างความโปร่งใสและความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด
สำหรับการมอบรางวัล SX TSCN Sustainability Award ครั้งนี้จัดขึ้นภายในงาน SX2024 ที่ผ่านมา เป็นรางวัลที่มีความแตกต่างและมีจุดเด่นในการยกระดับซัพพลายเชนให้ขับเคลื่อนไปตามทิศทางโลกที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน โดยผู้ให้รางวัลเป็นผู้ที่เป็นคู่ค้าจริงกับซัพพลายเออร์แต่ละราย จึงทำให้รางวัลมีความน่าเชื่อถือและเป็นสิ่งที่แต่ละองค์กรดำเนินการจริง
นอกจากนี้ ยังเห็นความร่วมมือในการพัฒนาซัพพลายเชนในภาคอุตสาหกรรมไปสู่ความยั่งยืน จากคณะผู้ร่วมก่อตั้งในการประกาศเจตนารมย์แนวทางปฏิบัติคู่ค้าของ TSCN หรือ TSCN Business Partner Code of Conduct เพื่อให้สมาชิกยึดถือและปฏิบัติตามคุณค่า และหลักการในกรอบเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนสอดคล้องกับ ESG ทั้งด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การมีความรับผิดชอบต่อสังคม รวมท้ังธรรมาภิบาลและจริยธรรมของธุรกิจ
รวมไปถึงการมุ่งสร้างแพลตฟอร์มกลางเพื่อเป็นศูนย์กลางทั้งการให้ข้อมูลข่าวสาร และองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อเป็นการต่อยอดความร่วมมือและขยายเครือข่ายไปสู่ภาคธุรกิจในวงกว้าง ผ่านการให้บริการระบบ TSCN Platform (https://thailandsupplychain.com/) เครือข่ายสังคมธุรกิจออนไลน์ สำหรับเชื่อมโยงพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพจากหลากหลายอุตสาหกรรมผ่านการจับคู่อุปสงค์และอุปทานในการทำธุรกิจและเป็นศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจไทย รวมทั้งการจัดอบรม Train-the-Trainers ภายใต้ Thailand Sustainability Academy (TSA) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับคณะทำงานของ TSCN ให้มีศักยภาพในการอบรมคู่ค้ารายย่อยให้สามารถจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปจนถึงการจัดทำแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองได้อย่างชัดเจน
“อนาคตจากนี้ ความยั่งยืนจะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจมากขึ้น และปรับเปลี่ยนจากภาคสมัครใจไปสู่ภาคบังคับ ทำให้ทั้งซัพพลายเชนจะต้องปรับตัวเพื่อรับกฎกติกา หรือเงื่อนไขทางการค้าใหม่ๆ และในฐานะองค์กรใหญ่ ต้องพยายามสร้างแรงจูงใจต่างๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน รวมทั้งติดตามปัญหาข้อจำกัดของซัพพลายเออร์ภายในห่วงโซ่ เพื่อให้สามารถขยับและปรับเปลี่ยนไปได้พร้อมกัน ซึ่งจากนี้จะมีความเข้มข้นมากขึ้นเพื่อให้เกิดการขยับได้อย่างจริงจัง แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อนได้ทั้งหมด ขณะที่ซัพพลายเออร์หลายรายมองว่าจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงสามารถเริ่มได้ทันทีจากแนวคิดและปรับเปลี่ยนภายในองค์กร ซึ่งไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม แต่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้ศักยภาพทางธุรกิจภาพรวมดีขึ้นได้เช่นกัน” ผู้บริหารตัวแทนจากกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้ง TSCN กล่าวทิ้งท้าย