SCGP ชูกลยุทธ์ด้าน ESG เร่งลดก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพิ่มบริการ ‘Private declaration Label’ ระบุ CFP หรือปริมาณคาร์บอนฟุตพรินท์ไว้บนผลิตภัณฑ์ พร้อมพัฒนา ‘ซอฟต์แวร์คาร์บอนฟุตพริ้นท์’ ช่วยคำนวณการปลดปล่อยได้เร็วขึ้น เพิ่มศักยภาพการจัดการ Scope 3 ของลูกค้า ตั้งเป้าได้รับรอง CFP สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยทั้ง 100% ภายในปี 2027
คุณวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า SCGP เร่งทรานส์ฟอร์มธุรกิจทุกด้านมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความยืดหยุ่น และการเติบโตของธุรกิจอย่างมีคุณภาพ ผ่าน 4 แกนสำคัญ ทั้ง Business Model Transformation, People Transformation, Digital Transformation รวมทั้ง Sustainability Transformation ซึ่งถือเป็นแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตามแนวคิด Inclusive Green Growth เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และสร้างสรรค์คุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ผ่านการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ SCGP กำหนดเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 โดยตั้งเป้าหมายเบื้องต้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction) ลดลง 25% ภายในปี 2030 จากฐานในปี 2020 ที่มีการปลดปล่อย (Emission) ราว 4.99 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ส่วนในสิ้นปีนี้คาดว่าจะลด GHG ในสโคป 1 และ 2 ให้เหลือราว 4.19 -4.2 ล้านต้น CO2e หรือในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สามารถลดการปลดปล่อยลงได้กว่า 15.9% หรือประมาณ 1 ล้านตัน CO2e ขณะ GHG ในสโคป 3 มีสัดส่วน 34% หรือราว 2 ล้านตัน CO2e
“การขับเคลื่อน GHG Reduction ของ SCGP ทำผ่าน 2 มิติ คือ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิตมากขึ้น เช่น พลังงานโซลาร์ ไบโอแมส แทนเชื้อเพลิงที่มีคาร์บอนสูง รวมท้ังการพัฒนา และปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ตลอดจนการสนับสนุนคู่ค้าและลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งห่วงโซ่คุณค่า เพื่อร่วมลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ”
นอกจากนี้ SCGP ตั้งเป้าให้สินค้าในกลุ่มบรรจุภัณฑ์กระดาษที่ผลิตในประเทศไทยสามารถได้รับการรับรอง CFP ทั้งหมด โดย ล่าสุด ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (CFP) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศ ได้แก่ กลุ่มสินค้าเยื่อกระดาษ กระดาษพิมพ์เขียน กระดาษถ่ายเอกสาร กระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์พลาสติก จำนวน 128 ผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น ในกลุ่ม B2B (จากวัตถุดิบจนผลิตภัณฑ์ออกจากโรงงาน) จำนวน 109 รายการ และกลุ่ม B2C ที่รับรองตลอดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ 19 รายการ รวมทั้งการรับรองจากกระบวนการพิมพ์และการขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์กระดาษรวม 16 กระบวนการ ซึ่งการได้รับรองด้าน Process จะช่วยย่นระยะเวลาในการขอรับรอง CFP ในอนาคตให้ลดลงได้กว่า 50% หรือจะใช้ระยะเวลาในการขอรับรองคาร์บอนของผลิตภัณฑ์แต่ละรายการประมาณ 3 เดือน จากเดิมที่ต้องใช้เวลาราว 6 เดือน
“ในฐานะที่บรรจุภัณฑ์เป็นสโคป 3 ของสินค้าและแบรนด์ต่างๆ SCGP ได้ต่อยอด พัฒนา ‘ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์’ (Private Declaration Label) เพื่อแสดงการปลดปล่อยคาร์บอนของบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งการใช้ ‘ซอฟต์แวร์คาร์บอนฟุตพริ้นท์’ เพื่อช่วยคำนวณการปลดปล่อยคาร์บอนที่แม่นยำ ง่าย และรวดเร็ว สำหรับเป็นโซลูชันให้ลูกค้า พร้อมเอกสารรับรองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์เพื่อนำไปใช้เป็นเอกสารอ้างอิง ซึ่งลูกค้าสามารถนำค่า CF (Carbon Footprint) จาก SCGP ไปบวกต่อจากกระบวนการอื่นๆ เพื่อทราบการปลดปล่อยสุทธิของตัวเองได้ หรือควบคุมการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เป็นคาร์บอนต่ำ สอดคล้องกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของภาครัฐที่มีการบังคับใช้มากขึ้นในหลายประเทศ สามารถช่วยเพิ่มโอกาสการขาย การเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ให้ลูกค้าส่งออกกลุ่มต่างๆ อีกทั้งยังต่อยอดไปสู่การพัฒนาและเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ นับเป็นการช่วยเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทยให้มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมด้วย”
SCGP ตั้งเป้าหมายพัฒนาจุดแข็งด้านดีไซน์และนวัตกรรม เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทุกรายการมีความสามารถในการลด Emission ได้มากขึ้นไม่ต่ำกว่า 2% เพื่อยกระดับจากการรับรองฉลาก CFP หรือ ฉลากเขียว ไปสู่การรับรอง CFR (Carbon Footprint Reduction) หรือฉลากทอง ในการรับรองครั้งใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์กลุ่มโพลีเมอร์ให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาพลาสติกหลายชั้นมาเป็น Mono Material หรือใช้วัสดุเดียว และสามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้ รวมทั้งการส่งเสริมกระบวนการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ของแบรนด์ต่างๆ เพื่อเพิ่มปริมาณวัตถุดิบที่เป็นกลุ่ม Recycle Content ให้มีสัดส่วนเพิ่มเข้ามาในระบบให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในซัพพลายเชน โดยเฉพาะ SME เพื่อปรับตัวและเปลี่ยนผ่านเข้ากับบริบทใหม่ของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
“SCGP เดินหน้าการดำเนินธุรกิจตามกรอบแนวคิด ESG มุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม สร้างความร่วมมือกับผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าเติบโตไปพร้อมกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม (Inclusive Green Growth) รวมถึงการศึกษาและติดตามสถานการณ์ เพื่อเตรียมพร้อมรับกับมาตรการใหม่ (New Regulations) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพร้อมให้การสนับสนุนและร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันที่จะมาช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน”