‘เวียตเจ็ทไทยแลนด์’ ผนึก ‘มูลนิธิชัยพัฒนา’ ขับเคลื่อนกิจกรรมดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกัน พร้อมขยายช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนบนเครื่องบิน

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) กับ มูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อเดินหน้าโครงการและกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้กองทุนฟลายกรีนฟันด์ของสายการบินฯ พร้อมเตรียมนำผลิตภัณฑ์ชุมชน​ไปจำหน่ายบนเครื่อง ภายในไตรมาส 4 นี้ เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนทั้งในมิติของการดูแลสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ให้ผู้คนในสังคม

ทั้งนี้ สายการบินได้ก่อตั้งกองทุนฟลายกรีนฟันด์ เมื่อปี 2564 เพื่อ​ขับเคลื่อนความยั่งยืน ผ่านการสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการเดินหน้าจัดกิจกรรมเพื่อระดมทุน และนำรายได้ร่วมส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และดูแลทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง  เพื่อตอกย้ำความเป็น Green Airlines และมีส่วนช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ในฐานะที่อุตสาหกรรมการบิน ถือเป็นหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีการสร้างก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง

ขณะที่ความร่วมมือกับมูลนิธิชัยพัฒนาใน​ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนตามกรอบ ESG ทั้งในมิติของการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล ที่คำสึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการมีส่วนช่วยดูแลคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม ผ่านการมอบสิ่งแวดล้อมที่ดี​ รวมถึงการส่งเสริม​รายได้ ​การพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้คนในชุมชน

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เพื่อสานต่อวิสัยทัศน์ที่ตรงกันในการร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติตามแนวทางในการปฏิบัติอย่างยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือ​ในการขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ ทั้งการฟื้นฟูป่า การดูแลรักษาแหล่งน้ำ การพัฒนาคุณภาพดิน เพื่อคุณภาพของสิ่งแวดล้อมที่ดีและสะอาดมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่องค์กรธุรกิจในปัจจุบันควรหันมาให้ความสำคัญ​ ผ่านกิจกรรมอนุรักษ์ต่างๆ ที่จะมีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการดูแล​ผู้คนในชุมชนต่างๆ ให้มีความเข้มแข็งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

คุณวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เวียตเจ็ทไทยแลนด์ กล่าวว่า สายการบินมุ่งสู่การเป็น Green Airlines เพื่อส่งเสริมการดูแลสิ่งแวดล้อม ทั้งเป้าหมายในการขับเคลื่อนสู่ Net Zero ในปี 2050 ตามทิศทางโลก รวมทั้งมีแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันอากาศยานยั่งยืน (SAF : Sustainable Aviation Fuel) ให้ได้ 1% ภายในปี 2026 และเพิ่มเป็น 5% ภายในปี 2030 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 153,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายใน 5 ปี ขณะเดียวกัน ยังมีแผนปรับปรุงประสิทธิภาพ​​ด้านการบิน ด้วยการนำเครื่องบินใหม่มาวิ่งทดแทนเครื่องเก่ามากขึ้น ซึ่งเครื่องบินใหม่จะทำให้ประหยัดการใช้พลังงานมากขึ้น เพราะลดการเผาผลาญเชื้อเพลิง​ลงได้ราว 15% ทำให้ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้อีกทางหนึ่งด้วย

ขณะที่การขับเคลื่อนในส่วนที่ไม่ใช่เรื่องทางการบิน (Non-Flight) จะเน้นการขับเคลื่อนผ่านกิจกรรมอนุรักษ์ต่างๆ ผ่านกองทุนฟลายกรีนฟันด์ เช่น กิจกรรม​การ์เบจ ฮันเตอร์ (Garbage Hunter) เพื่อ​กำจัดขยะจากสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อ​ลดปริมาณขยะและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม, กิจกรรมปลูกป่าในเมือง หรือ เมโทร ฟอร์เรสต์ (Metro Forest)เพื่อกระตุ้นและสร้างความตระหนักในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและข่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในเขตเมือง

รวมทั้งการประกาศความร่วมมือครั้งล่าสุด​กับพันธมิตรอย่างมูลนิธิชัยพัฒนาที่มีองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในการส่งเสริมกิจกรรมสาธารณประโยชน์ และการดูแลสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ​​เพื่อสามารถขยายการมีส่วนช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมได้ในวงกว้างมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มการดูแลสังคม ผ่านภารสนับสนุนภารกิจมูลนิธิฯ โดยกิจกรรมแรก คือ การปลูกป่าชายเลนและปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืด เพื่อสนับสนุนการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีทางธรรมชาติตามแนวพระราชดำริ ซึ่งได้ดำเนินการแล้วในพื้นที่แหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี รวมท้ังจะเดินหน้าเพิ่มเติมในหลายพื้นที่ โดยมีเป้าหมายปลูกป่าชายเลนให้ได้ 5 แสนต้น ภายในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสามารถดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 235,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า รวมทั้งการสร้างเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการตั้งกลุ่มนักเรียน นักศึกษา หรือเยาวชน ที่มาร่วมกิจกรรมเพื่อทำหน้าที่​​ยุวทูตสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายในการทำกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนจัดตั้งปีละ 100 คน หรือรวมกว่า 500 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี

“ทางสายการบินมีแผนจะนำผลิตภัณฑ์ชุมชนในเครือข่ายมูล​นิธิชัยพัฒนา ขึ้นไปจำหน่ายบนเครื่องระหว่างเส้นทางบินต่างๆ เนื่องจากปัจจุบันมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจีน ญี่ปุ่น หรือเวียดนาม โดยจะทำการศึกษาพฤติกรรมและความชื่นชอบของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อสามารถนำกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการมาจำหน่าย พร้อมทั้งช่วยขยายตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชนได้เพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการศึกษาราว 2-3 เดือน และจะเริ่มนำสินค้าขึ้นไปจำหน่ายบนเครื่องได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้” คุณวรเนติ กล่าว

ความร่วมมือนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการเดินทางสู่ความยั่งยืนของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ รวมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องสิ่งแวดล้อมเพื่อโลกที่สวยงาม พร้อมส่งต่อความยั่งยืนสู่คนรุ่นหลัง โดยผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเวียตเจ็ทไทยแลนด์และกองทุนฟลายกรีนฟันด์สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ ที่ th.vietjetair.com

Stay Connected
Latest News