ถือเป็นวิกฤตหนักสุดในรอบ 20 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจสำหรับ บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA หลัง 2 ผู้บริหาร ได้แก่ คุณสมโภชน์ อาหุนัย และคุณอมร ทรัพย์ทวีกุล ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษพัวพันกรณีทุจริตการจัดซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศ และ/หรือทุจริตการจัดซื้อโปรแกรมซอฟต์แวร์เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ EA รวมมูลค่า 3,465.64 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ออกประกาศถอด EA ออกจาก SET ESG Ratings ในเวลาต่อมา
เมื่อวิกฤตศรัทธาสั่นคลอนมาถึงธรรมาภิบาลของบริษัท กระทบเป็นลูกโซ่ทั้งความเชื่อมั่นนักลงทุน ผู้ถือหุ้น และความเชื่อถือต่อแบรนด์และองค์กร นำมาสู่การแถลงข่าวแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารบริษัท (Executive Committee) ชุดใหม่ แทนชุดเดิม โดยมี คุณสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการบริษัทฯ ดำรงตำแหน่งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อขยับจากการดูแลด้านนโยบาย มาขับเคลื่อนการดำเนินงานในภาวะคับขัน พร้อมทีมบอร์ดบริหารชุดใหม่ เพื่อเร่งฟื้นความเชื่อมั่นและแก้วิกฤตให้คลี่คลาย
โดย คุณสมใจนึก ยอมรับว่า วิกฤตครั้งนี้ ทำให้บริษัทที่แข็งแรงและพื้นฐานดีอย่าง EA ออกอาการซวนเซได้ แต่เชื่อว่าไม่ถึงกับล้ม และทุกอย่างจะกลับมาได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการฟื้นความเชื่อมั่น จากการดำเนินมาตรการตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อย่างโปร่งใส แต่ไม่น่ากังวล เพราะพื้นฐานของธุรกิจมั่นคง และยังมีกระแสเงินสดไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่กระทบแผนการลงทุนที่วางไว้ในอนาคต รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงินที่บริษัทยังคงมีภาระหนี้สินอยู่
เส้นทางการเติบโต EA
ด้าน คุณสมโภชน์ อาหุนัย อดีต CEO EA ได้มาร่วมงานแถลงข่าวพร้อมเปิดใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อ EA ในขณะนี้ว่า คาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะมาถึงจุดนี้ พร้อมแสดงความเสียใจที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดทุน และทำให้นักลงทุนได้รับความเสียหายจากสิ่งที่เกิดขึ้น โดยรู้สึกเสียใจที่เรื่องส่วนตัว มากระทบสร้างความเสียหายให้แก่บริษัท และพนักงานกว่า 3,000 คน และจะไปแก้ไขตามกระบวนการทางกฎหมาย โดยไม่ขอลงรายละเอียดในวันนี้
พร้อมเล่าเส้นทางการเติบโตของ EA ที่สร้างบริษัทมากว่า 20 ปี และได้รับการยอมรับว่าเป็นหุ้น Falgship เป็น Blue chip ในตลาด และพัฒนาInnovation มากมาย ซึ่งบริษัทแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และไม่ได้เกิดเพราะ Miracle แต่เกิดด้วยความตั้งใจของคนที่มี Passion ร่วมกัน ความเป็นทีมเวิร์คของพนักงานกว่า 3,000 คน ที่มีความมุ่งมั่น มีความพยายาม และมีความเชื่อร่วมกัน
“เราไม่ใช่แค่ทำธุรกิจ หรือไปซื้อเทคโนโลยีมา แต่เราสร้างเทคโนโลยีเอง นับตั้งแต่วันแรก เราเริ่มจากบริษัทที่ทำเรื่องไบโอดีเซล วันนี้เราก็ยังเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ในการผลิตไบโอดีเซล แม้ว่าธุรกิจอาจจะเล็กลงในวันนี้ เรายังบุกเบิกโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตั้งแต่ยังไม่มีใครทำ แม้จะยังไม่มีเงินมากในตอนนั้น แต่เราก็พิสูจน์ว่าเราทำมาได้และรันมาเกือบ 20 ปี ในราคาที่ Incredible ด้วยต้นทุนที่ถูกมาก และ Competitive เราเริ่มทำตั้งแต่วันที่ยังไม่มีใครเชื่อว่าธุรกิจนนี้จะสามารถทำกำไรได้ ที่ผ่านมาเราทำแต่สิ่งที่ไม่มีใครเชื่อ เริ่มจากแสงอาทิตย์ ต่อมาเป็นพลังงานลม รวมทั้งโรงงานแบตเตอรี่แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเราออกแบบเอง เราเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีต่างๆ มาได้ด้วยตัวเราเอง”
คุณสมโภชน์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา เราคือผู้บุกเบิกในทุกเรื่องที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และเป็นผู้นำที่ไม่มีแม้แต่คู่แข่งที่จะมาเป็นเบอร์ 2 ที่มีเน็ตเวิร์กหรือฐานลูกค้ามากพอ รวมทั้งยังเป็นผู้พัฒนา Ultra Fast-charge สำหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์ แม้แต่โรงงานไบโอดีเซลที่อุตสาหกรรเล็กลง แต่เราก็เข้าไปร่วมพัฒนาน้ำมันเครื่องบินเชื้อเพลิงยั่งยืน (SAF) ซึ่งทุกคนที่จะทำสถานีเชื้อเพลิง SAF ต้องไปซื้อเทคโนโลยีจาก BIG 3 ของโลก แต่เราเป็นคนเดียวที่ไม่ต้องซื้อ และเราสร้างได้ และกำลังจะเป็นโรงแรกที่จะมีน้ำมันหยดแรกออกมาภายในสิ้นปีนี้
“EA มี Philosophy มาตลอด 20 กว่าปี เราทำอะไรไม่ใช่แค่ทำ แต่เราจะมองว่า จะเป็นผู้นำได้อย่างไร เราจะมีศักยภาพได้อย่างไร และจะสามารถ Competitive ได้อย่างไร ไม่ใช่แค่โครงการใดโครงการหนึ่ง แต่ทุกโครงการที่เราเข้าไปต้อง Competitive เสมอ และมากกว่าทำธุรกิจ เราต้องสร้างเทคโนโลยีได้เอง ซึ่งเทคโนโลยีของเราได้ไปจดสิทธิบัตรทั่วโลกทั้งในญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา อาเซียน หรือในจีน สะท้อนว่าสิ่งที่เราทำคือสิ่งใหม่ และเราเติบโตมาด้วย Innovation มีความมุ่งมั่นให้ Competitive แล้วมุ่งทำในสิ่งดีๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เช่น เรือไฟฟ้า รถเมลล์ไฟฟ้า สถานีชาร์จ เพื่อให้ประเทศมีระบบขนส่งสาธารณะที่ดีให้ประชาชน โดยที่ทั้งหมดผลิตได้เองจากบริษัทคนไทย”
ยืนยัน EA ไม่ซ้ำรอย STARK
คุณสมโภชน์ เน้นว่า ความสำเร็จทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเองคนเดียว แต่มาจากการขับเคลื่อนร่วมกันทั้งองค์กร การมี Passion มีความเชื่อร่วมกันเพื่อพัฒนาสิ่งดีๆ และทำให้ประเทศไทยไม่แพ้ประเทศอื่น ให้เห็นว่าคนไทยสามารถทำสิ่งดีๆ ได้เอง ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้มาจากทีมเวิร์ค ดังนั้น แม้ตัวเองจะออกไปก็เชื่อมั่นว่า EA จะยังสามารถขับเคลื่อนและเติบโตไปได้อย่างแข็งแกร่ง จากทีมเวิร์คเดิมที่ยังแข็งแรง
“ผมรู้สึกใจหาย เพราะผมรัก EA แต่หากจะให้ผมยังนั่งอยู่ เพราะห่วงว่า ถ้าผมเดินออกไปคนหนึ่ง แล้ว EA จะเดินต่อไปอย่างไร มันไม่แฟร์กับ EA ผมไม่อยู่อาจจะมีเฟืองตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่หายไป แต่ฟันเฟืองอื่นๆ ยังอยู่ต่อครบถ้วนไม่ได้ไปไหน วันนี้คนอาจจะยังสับสน หรือกลัวว่า EA จะเดินต่อได้หรือไม่ แต่ผมมั่นใจในทีมงานของผม เพราะทุกคนมีความมุ่งมั่นจะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ ซึ่งเป็นทีมงานเดิม และทุกคนก็มีความมุ่งมั่นในการที่จะทำให้งานสำเร็จ”
ขณะที่ประเด็นเรื่องของการลงทุนนั้น ที่ผ่านมา EA จะเน้นลงทุนในทุกโครงการที่จะดำเนินการทั้งหมด โดยเน้นให้ใช้เงินลงทุนถูกที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุดทุกครั้ง ทำให้เมื่อเทียบ Performance ในกลุ่มโรงไฟฟ้าต่อเมกะวัตต์ ถือว่า EA ทำกำไรได้ดีกว่าคนอื่นเสมอมา เพราะไม่ได้เน้นซื้อของถูก แต่เน้นของถูกและดีมาเป็นเวลากว่าสิบปี ดังนั้น หากจะมองว่า คุณภาพมูลค่าทางบัญชีของบริษัท (Book Value) อยู่ในระดับต่ำ เพราะเราทำได้ถูก แต่ถ้าเราไปทำในราคาที่แพง Book Value ก็จะสูง แต่เราเลือกทำโรงไฟฟ้าถูกๆ ทำโรงน้ำมันถูกๆ Book Value ก็จะต่ำ ดังนั้น Book Value ที่อยู่ในจุดนี้ จึงถือเป็นจุดที่มีคุณภาพ และยืนยันว่าทุกการลงทุนของเราสามารถตรวจสอบได้
“หลายคนเอา EA ไปเทียบกับ STARK ไม่ใช่นะครับ เรามีทรัพย์สินทีมีมูลค่าที่เหมาะสม เรามีรายได้เข้ามาทุกเดือนไม่ต่ำกว่าพันล้านทุกเดือน เราไม่ใช่ STARK แน่นอน เราจะเป็น STRAK ได้อย่างไร เพราะเราสามารถสร้างนวัตกรรมที่ทุกคนยอมรับ กระทั่งเมืองนอกก็ยอมรับ แม้แต่การสร้างรถไฟแบตเตอรี่ ซึ่งวิ่งได้เป็น 200 กิโลเมตร ครั้งแรกของโลก โดยไม่ต้องเปลี่ยนแบต หรือชาร์จเพิ่ม ผมเศร้าใจมากๆ ที่ได้ยินคนบอกจะเอาบอนด์ของผมไปขายลดในตลาด 50% ผมอยากขอโทษจริงๆ ที่เรื่องส่วนตัวของผม มาทำร้ายบริษัท มาทำลายความเชื่อมั่นดีๆ ของบริษัท และทำร้ายพนักงานอีกกว่า 3,000 คน ที่มีความมุ่งมั่น และมีผลงานที่ตอบโจทย์ ผมว่าบริษัทแบบนี้ไม่สมควรที่จะถูก Bully ส่วนเรื่องส่วนตัว ผมก็น้อมรับว่า เดี๋ยวเราต้องไปพิสูจน์กันทางกฏหมาย แต่ตัวบริษัทเราไม่ใช่ STARK แน่นอน และมั่นใจว่าทีมงานเดิมที่มีอยู่สามารถสานต่อฝัน ส่ิงที่เรากำลังทำอยู่ได้อย่างแน่นอน”
สุดท้าย คุณสมโภชน์ กล่าวย้ำว่า “ผมอยากขอโอกาสให้กับบริษัทคนไทย บริษัทหนึ่งที่มีความมุ่งมั่น ทำเรื่องเหล่านี้มาตลอด 20 ปี และทำในสิ่งที่ประจักษ์ อยากเห็นประเทศไทยมีอนาคต และอยากให้มีบริษัทแบบนี้เกิดขึ้นได้อีกมากๆ สุดท้ายนี้ ผมอยากฝากบริษัทที่ผมรัก บริษัทที่ผมมีความฝัน และส่งไม้ต่อให้ทีมงานและบอร์ดชุดใหม่ มาสานสิ่งเหล่านี้ต่อ เพื่อให้ฝันนี้เกิป็นจริงได้ เรายังมีผู้ถือหุ้นมากกว่า 50,000 คน ที่เชื่อมั่นในบริษัทและยังลงทุนกับเรา เราคงไม่ยอมแพ้ในจุดนี้และจะทำให้สำเร็จต่อไป”