ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก้าวสู่ปีที่ 50 ย้ำแนวคิด Make it “Work” for Every Future – ร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน มุ่งเน้นเดินหน้าสู่เป้าหมายอนาคต
พร้อมยกระดับสู่ตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาค ขยายโอกาสระดมทุนสนับสนุนธุรกิจทุกขนาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ บริษัทต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจในไทย SMEs Startups พร้อมสร้างศักยภาพในอุตสาหกรรมใหม่ๆ (New Economy) เสริมเทคโนโลยีดิจิทัลมาเสริมศักยภาพให้ตลาดทุน
นอกจากนี้ จะเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานและการกำกับดูแล และสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้วยเทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนความยั่งยืนทุกมิติ นำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมและอนาคตของสังคมไทยอย่างยั่งยืน
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มเปิดให้มีการซื้อขายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2518 และก้าวสู่ปีที่ 50 ของการดำเนินงานในปีนี้ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นตลาดทุนแห่งอนาคตที่สนับสนุนผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม โดยกำหนดแนวคิดสำหรับการก้าวสู่ปีที่ 50 ว่า Make it “Work” for Every Future – ร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน ทั้งการสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่ตอบโจทย์เป้าหมายอนาคตของผู้ออมและผู้ลงทุน เป็นกลไกให้ภาคธุรกิจเข้าถึงโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว นำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม และอนาคตของสังคมไทยอย่างยั่งยืน
“มองไปในอนาคต ตลาดทุนจะยังพบความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องทั้งจากปัจจัยภายในและนอกประเทศ ความต้องการของภาคธุรกิจและผู้ลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป การแข่งขันที่เข้มข้น ตลอดจนเทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน โดยมองบทบาทที่จะเปลี่ยนไปและมุ่งสู่เป้าหมายอนาคต ใน 5 ด้าน ประกอบด้วย
1) ยกระดับสู่ตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาค ทั้งในด้านการเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการเพิ่มเติมทางเลือกการลงทุนต่างประเทศผ่านกลไกตลาดทุนไทย
2) ขยายโอกาสการระดมทุน ให้บริษัททุกขนาดในภูมิภาค โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายทั้งบริษัทขนาดใหญ่ รวมถึงธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ (Mega Family Business) บริษัทต่างชาติที่มีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ (New Economy) และ SMEs Startups พร้อมส่งเสริมการพัฒนา Data Platform สำหรับบริษัทจดทะเบียน เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่มีคุณภาพ (Data Pools) นำมาต่อยอดเป็นข้อมูลเชิงวิเคราะห์ (Data Analytics) อาทิ Industry Highlights สำหรับเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตร
3) พัฒนาตลาดทุนแบบดิจิทัลเข้ามาเสริมตลาดทุนดั้งเดิมที่มีความเข้มแข็งในปัจจุบัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ระดมทุนและผู้ลงทุนยุคใหม่
4) เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานและการกำกับดูแล และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนที่แข็งแกร่ง โดยพิจารณาในการนำเทคโนโลยี AI และ Generative AI เข้ามาช่วยพัฒนางานในหลายด้านเพิ่มขึ้น เช่น ระบบกำกับดูแลการซื้อขายและบริษัทจดทะเบียน ระบบช่วยนักวิเคราะห์ในการจัดทำบทวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็ก ระบบแปลเนื้อหาข้อมูลบริษัทจดทะเบียน หรือความรู้ด้านการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนต่างชาติ รวมทั้งแนะนำบริการด้านต่าง ๆ ตามโจทย์พฤติกรรมผู้ลงทุน (Personalization) เป็นต้น
5) ขับเคลื่อนความยั่งยืน (Sustainability) ในทุกมิติ โดยมุ่งเน้นการเตรียมบริษัทจดทะเบียน ผู้ลงทุน และบุคลากรตลาดทุน ให้พร้อมรองรับความท้าทายและโอกาสจากประเด็นความยั่งยืน และพัฒนาการของกฎเกณฑ์กำกับใหม่ ๆ อาทิ วิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Climate Crisis) ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) และสิทธิมนุษยชน (Human Rights)
“ตลอด 5 ทศวรรษ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาธุรกิจและตลาดทุนต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการระดมทุนสำหรับธุรกิจทุกขนาดทั้งในภาวะปกติและวิกฤต ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนกว่า 850 บริษัท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกว่า 17.4 ล้านล้านบาท จำนวนผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องล่าสุดที่กว่า 5.8 ล้านบัญชี และพัฒนาสินค้าบริการเพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนทุกกลุ่ม รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงต่างประเทศในหลากหลายรูปแบบ อาทิ DR DRx ETF DW ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาด และสนับสนุนการทำงานของอุตสาหกรรมตลาดทุน ซึ่งรวมถึงการมีแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล ควบคู่การนำ ESG เป็นหลักในการดำเนินธุรกิจ และขับเคลื่อนตลาดทุนในมิติต่างๆ การให้ความรู้การเงินการลงทุน ดูแลสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมภาคสังคมให้เติบโตไปพร้อมกัน โดยปัจจุบัน บริษัทจดทะเบียนไทยเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนระดับสากล”
ด้าน ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและโครงการกลยุทธ์ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน และหัวหน้ากลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร SET เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนเรื่องของความยั่งยืนในภาคธุรกิจ มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามบริบทในสังคม และโอกาสในการเกิดความเสี่ยง หรือปัจจัยต่างๆ ที่ผู้คนและสังคม จะเริ่มถามหาความรับผิดชอบต่อภาคธุรกิจ ซึ่งอาจจะกลายเป็นเงื่อนไขในการกีดกันการค้า เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะการค้าขายระหว่างประเทศในตลาดโลก ซึ่งในอนาคตจะมีประเด็นในมิติต่างๆ ที่มากกว่าแค่เรื่องของธรรมาภิบาล สิ่งแวดล้อม และสังคม หรือ ESG
“ปัจจุบันเทรนด์อาจจะเด่นชัดในเรื่องของ Environment จากความกังวลต่อปัญหา Climate Change ทำให้มีความตื่นตัวในเรื่องของ Carbon Risk หลายฝ่ายพยายามขับเคลื่อนเพื่อลดคาร์บอน และวางเป้าหมายที่จะเป็น Net zero แต่ในอนาคตอีกไม่กี่ปีมิติสิ่งแวดล้อมอื่นๆ จะขยายกรอบออกไปกว้างมากขึ้นโดยเฉพาะความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ที่เริ่มมีคนพูดถึงมากขึ้น แต่ในไทยยังไม่มีความพร้อมในการกำหนดมาตรฐาน หรือทิศทางในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ที่จับต้องได้ รวมทั้งมิติทางสังคมทั้งเรื่องของสิทธิมนุษยชน (Human Rights) รวมไปถึงการขับเคลื่อน Financial Literacy เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของประชากร ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีอายุเฉลี่ยมากขึ้น การวางแผนการเงินหลังเกษียณจะมีความจำเป็นเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันปัญหาหนี้ครัวเรือน รวมทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันจากการหลอกลวงทางไซเบอร์ที่เริ่มซับซ้อน และมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือมากขึ้นด้วย”
ทั้งนี้ SET จะทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณให้ธุรกิจเห็นถึงเทรนด์ด้านความยั่งยืนใหม่ๆ ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น เพื่อสร้าง Awareness ให้เตรียมรับมือ พร้อมกำหนด Guideline เพื่อให้บริษัทต่างๆ เริ่มวางทิศทางในการขับเคลื่อนเพื่อรับมือต่อความเสี่ยงเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่าน 4 กลยุทธ์ คือ ESG in Action , ESG Investment ESG Tech & Infrastructure และ ESG Academy
นอกจากนี้ ระหว่างปี 2567-2568 ภายใต้วาระตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวสู่ปีที่ 50 จะมีการจัดกิจกรรมถ่ายทอดพัฒนาการตลาดหลักทรัพย์ฯ อาทิ นิทรรศการ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ห้องสมุดมารวย หนังสือ 50 ปี “5 Decades of SET” และจัดทำซีรีส์สื่อสารผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งส่งเสริม ESG ทั้งด้านการขับเคลื่อนภาคเอกชนสู่การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ด้านสังคมที่มีการดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยสนับสนุนรถพยาบาลแก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เด็กและเยาวชนด้วย Financial Literacy และส่งเสริมสุขภาวะประชาชนผ่านกีฬาเทเบิลเทนนิส และด้านการส่งเสริม CG ภาคธุรกิจ การประกวดงานวิจัยด้าน ESG ที่จะมีขึ้นในปีนี้ รวมทั้งการจัดทำหนังสือเกี่ยวกับกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์