ธุรกิจค้าปลีกในไต้หวัน โดยเฉพาะในกลุ่มร้านสะดวกซื้อ มีการแข่งขันสูงมาก ซึ่งความหนาแน่นของจำนวนร้านสะดวกซื้อต่อจำนวนประชากรของไต้หวันถือว่าสูงเป็นอันดับ 2 ของโลกเลยทีเดียว
ขณะที่แบรนด์ร้านสะดวกซื้อสำคัญในไต้หวัน ปัจจุบันมีอยู่ 4 ราย ประกอบด้วย 7-Eleven ที่มีสาขามากที่สุด ประมาณ 6,600 สาขา รองลงมาได้แก่ Family Mart ประมาณ 4.200 สาขา, Hi-Life ประมาณ 1,600 สาขา และ OK Mart ประมาณ 800 สาขา นอกจากนี้ แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในไต้หวันอย่าง Shopee ยังได้หันมาขยาย Shopee Shop เพื่อเป็นช่องทางในการรับส่งสินค้าที่ซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม ทำให้มีการขยายร้าน Shopee Shop เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันมีกว่า 1,000 สาขาแล้ว ส่งผลให้แนวโน้มการแข่งในธุรกิจร้านสะดวกซื้อยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้นไปอีก
มร.เยี่ยหลงถิง ประธานบริษัท Family Mart ของไต้หวัน กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจค้าปลีกของไต้หวันในปีนี้ว่า จากการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้จำเป็นต้องติดตามสถานการร์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อสามารถปรับตัวรับทั้งการแข่งขันและความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นของผู้บริโภค โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่น่าพอใจสำหรับ Family Mart ในไต้หวัน ผ่านตัวเลขที่สะท้อนถึงความแข็งแรงของธุรกิจผ่าน 3 มิติสำคัญ ทั้งการเพิ่ม Economy of Scale ของธุรกิจ ที่มีจำนวนสาขาในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 4,234 แห่งทั่วไต้หวัน และตัวเลขการเติบโต Same Store Growth ที่ทำยอดขายเฉลี่ยของแต่ละสาขาได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งอัตรากำไรขั้นต้นที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยสินค้าใน Family Mart ยังมีสัดส่วนสินค้าที่แตกต่างจากตลาด หรือ Differentiation มากกว่า 1 ใน 3 หรือราว 33% ทำให้เชื่อว่ากลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจของ Family Mart มีประสิทธิภาพ และจะสามารถผลักดันให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2567 นี้
ขณะที่ความท้าทายสำคัญของธุรกิจ คือ ปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศทั้งความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และสงครามระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ซึ่งจะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ทำให้ต้นทุนด้านวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และนำมาซึ่งปัจจัยแห่งความไม่แน่นอนที่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ตลอดเวลา
ส่วนด้านเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อของไต้หวันในปี 2566 มีตัวเลขลดลงจากปีก่อนหน้า ขณะที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจรายเดือนเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี เพราะแสดงถึงการขยายตัวของตลาด โดยเฉพาะการประกาศนโยบาย Net Zero Carbon Emission ภายในปี 2593 ซึ่งรัฐบาลไต้หวันจะเรียกเก็บภาษีคาร์บอนในอนาคตอันใกล้ และทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อจากกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ Greenflation และส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นพร้อมสะท้อนไปสู่ราคาสินค้าให้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น กลยุทธ์ Low-Carbon Economy จะเป็น Topic ที่สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และเป็นการบ้านสำคัญของผู้ประกอบการเพื่อหาแนวทางนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจ
อีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าสนใจ คือ การที่ผู้บริโภคยุคหลังโควิดหันมาใส่ใจสุขภาพ และใส่ใจต่อรายละเอียดของสินค้ามากขึ้น ทำให้ Family Mart ได้เปิดตัวสินค้ากลุ่ม Clean Label เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการดูแลสุขภาพ โดยเน้นขายสินค้าอาหารพร้อมรับประทานที่ลดการใส่สารปรุงรส ซึ่งได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค รวมทั้งการนำ AI และ IoT เข้ามาใช้ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจสะดวกซื้อมากขึ้น เพื่อวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ และเกิดแนวโน้มการบริโภคแบบ D2C (Direct-to-Customer) ช่วยสร้างความได้เปรียบในธุรกิจได้มากขึ้น ในฐานะที่เป็น Physical Store ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีที่สุดและยังตั้งอยู่ใกล้ผู้บริโภคมากที่สุดอีกด้วย
ข้อมูล : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ