หลังเติบโตแบบ All-time High ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 ได้ ในปี 2566 ‘ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป’ (WHA Group) จึงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจทั้ง 4 กลุ่ม เพื่อมุ่งสู่สถิติเติบโตสูงสุดครั้งใหม่ได้อีกครั้งในสิ้นปีนี้ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญเพื่อเสริมความแข็งแรงให้โครงสร้างพื้นฐานของบริษัท ผ่านการทรานส์ฟอร์มสู่การเป็น Tech Company ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อนำ Digital มาเป็น Backbone ในการขับเคลื่อนการเติบโตให้กับทุกกลุ่มธุรกิจ ผสมกับแนวคิดขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับเมกะเทรนด์โลก
ทั้งนี้ WHA Group ตั้งเป้าใช้เม็ดเงินลงทุนตลอด 5 ปีจากนี้ (ปี 2567-2571) ที่ 78,700 ล้านบาท เพื่อเติบโตสู่ธุรกิจที่ทั้ง Smart และ Green พร้อมเป้าหมายผลักดันรายได้รวมให้เติบโตสู่ระดับ 1 แสนล้านบาท จากการขยายตลาดต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการเดินหน้าเป็นพันธมิตรกับ Global Brand ภายใต้กลยุทธ์ WE SHAPE THE FUTURE เพื่อมีส่วนขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต ควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศ พร้อมทั้งการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน
4 กลยุทธ์ ขับเคลื่อน 4 ธุรกิจหลัก
คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา WHA Group สามารถทำสถิติยอดขายสูงสุดครั้งใหม่ หรือ All-time High ได้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 17,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% และสามารถรักษาระดับอัตรากำไร EBITDA ที่มากกว่า 40%
ส่วนในปีนี้ ได้วางเป้าหมายเพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่องได้ไม่น้อยกว่า 2 หลัก เพื่อสามารถสร้าง Triple All-time High ได้ ผ่านแผนลงทุนในปี 2567 นี้ เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาโซลูชันทางธุรกิจและอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันให้ประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่ จาก 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
– Extend Leadership เร่งขยายธุรกิจต่อเนื่องทั้งในประเทศและตลาดภูมิภาค
– Embrace Innovation and Technology นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น New S-curve ให้กับองค์กร
– Enhance the Prominence on Green and Sustainability เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ในปี 2593 (Net-Zero 2050)
– Build High–Performance Organization ด้วยการพัฒนายกระดับด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็นองค์กรสมรรถนะสูง
สำหรับแผนขับเคลื่อนธุรกิจในปีนี้ จะมุ่งยกระดับศักยภาพให้เพิ่มขึ้นทุกด้าน เพื่อรองรับการเติบโตของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจหลัก เพื่อสร้างความพร้อมทั้งการรับมือกับความท้าทาย และโอกาสจากดีมานด์ของลูกค้าและเมกะเทรนด์ของโลก โดยมีแผนพัฒนาตลอด 5 ปี ภายใต้งบรวมกว่า 7.87 หมื่นล้านบาท สำหรับการพัฒนามิติต่างๆ จากทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ ดังต่อไปนี้
ธุรกิจโลจิสติกส์ มุ่งขยายธุรกิจการพัฒนาโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้า ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ การเสริมศักยภาพด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี และการส่งเสริมแนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน พร้อมเร่งโครงการ Green Logistics เพื่อรองรับดีมานด์จากลูกค้าที่ต้องการลดคาร์บอนภายในซัพพลายเชนของธุรกิจ โดยเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคขนส่งของประเทศ ทั้งการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า สถานีชาร์จ และพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการยานยนต์ไฟฟ้ารวมถึงแบตเตอรี่ โดยนปี 2566 ที่ผ่านมา มีลูกค้าเซ็นสัญญาเช่าซื้อยานยนต์ไฟฟ้าแล้วจำนวน 25 คัน และตั้งเป้าหมายที่จะเซ็นสัญญาเพิ่มอีก 1,000 คัน ในปี 2567
ขณะที่เป้าหมายให้บริการขนส่งลูกค้าเพิ่มเติมในปีนี้ บริษัทมีเป้าหมายส่งมอบโครงการและสัญญาใหม่เพิ่มขึ้น 200,000 ตร.ม. แบ่งเป็นประเทศไทย 165,000 ตร.ม.และเวียดนาม 35,000 ตร.ม. โดยคาดว่าสินทรัพย์รวมภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารจะเพิ่มถึงระดับ 3,145,000 ตร.ม. จากในปีที่ผ่านมา สามารถเพิ่มพื้นที่ได้กว่า 242,000 ตร.ม ซึ่งถือเป็น All-time High และทำให้มีพื้นที่รวมในปีที่ผ่านมา 2,945,000 ตร.ม.
รวมทั้งมีแผนการขายสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART และ WHAIR รวมทั้งสิ้น 213,000 ตร.ม. มูลค่าประมาณ 5,290 ล้านบาท เพิ่มเติมจากสิทธิการเช่าทรัพย์สินกองทรัสต์ WHART จำนวน 142,900 ตร.ม. มูลค่า 3,566 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา
“การเข้าซื้อหุ้นของบริษัท จีซี โลจิสติกส์ โซลูชันส์ จำกัด (GCL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ในสัดส่วน 50% มูลค่า 2,640 ล้านบาท ถือเป็นอีกความสำเร็จหนึ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยการลงทุนดังกล่าว เป็นการผสานความเชี่ยวชาญ และความเป็นผู้นำในตลาดของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนยกระดับการให้บริการกับลูกค้า”
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ปีนี้มีแผนพัฒนานิคมแห่งใหม่ และขยายนิคมเพิ่มเติม ในประเทศไทย 7 โครงการ บนพื้นที่รวมกว่า 1 หมื่นไร่ ในช่วง 4 ปีข้างหน้านี้ ส่งผลให้บริษัทจะมีพื้นที่นิคมรวมกว่า 5.2 หมื่นไร่ ในปี 2570 จากปัจจุบันบริษัทมีนิคม 13 แห่ง ในประเทศไทย 12 แห่ง และเวียดนาม 1 แห่ง โดยปีที่ผ่านมาเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ทำ All-time High ได้เช่นกัน โดยมียอดขายที่ดินรวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 2,767 ไร่ ซึ่งมากกว่าเป้าหมายถึง 58% จากเป้าหมายเดิมช่วงต้นปีที่วางไว้ 1,750 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ในประเทศไทย 1,986 ไร่ และเวียดนาม 781 ไร่
ไฮไลต์สำคัญในปีที่ผ่านมา คือการลงนามสัญญาซื้อขายที่ดินกับฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย หนึ่งในกลุ่มยานยนต์ชั้นนำ 4 กลุ่มของจีน จำนวน 250 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 และการลงนามในสัญญาเช่าที่ดินในเวียดนามกับฟู่ วิง อินเตอร์คอนเนค เทคโนโลยี (เหงะอาน) ในเครือฟ็อกซ์คอนน์ อินเตอร์คอนเนค เทคโนโลยี ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของโลก จำนวน 300 ไร่
ทั้งนี้ บริษัทจะมุ่งพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ (Smart ECO Industrial Estate) อย่างต่อเนื่อง โดยขยายขีดความสามารถให้ครอบคลุม 6 องค์ประกอบสำคัญคือ Smart Services, Smart Mobility, Smart Communication, Smart Power, Smart Water และ Smart Security ภายใต้ UOC หรือ การบริหารจัดการโดยศูนย์ควบคุมกลาง (Unified Operation Center) เพื่อต่อยอดเป็น Total Solutions Partner ให้ลูกค้า ผ่านบริการเกี่ยวเนื่อง เช่น บริการด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) โทรคมนาคม ในประเทศเวียดนาม
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายเฟสใหม่ในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน หลังเฟส 1 ได้รับการตอบรับอย่างดีทำยอดขายได้แล้ว 77% และอยู่ระหว่างพัฒนาเฟส 2 รวมทั้งการขยายเขตอุตสาหกรรมอีก 3 โครงการ บนที่ดินรวมกว่า 22,813 ไร่
ธุรกิจสาธารณูปโภค โดย กลุ่มธุรกิจน้ำ ตั้งเป้าเพิ่มยอดจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้น 178 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แบ่งเป็น ในประเทศ 142 ล้าน ลบ.ม. และในเวียดนาม 36 ล้าน ลบ.ม. โดยเติบโตกว่า 14% จากการขยายการให้บริการทั้งภายในนิคมฯ และนอกนิคมฯ ซึ่งมองเห็นการขยายตัวของดีมานด์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อมขยายสู่ธุรกิจสร้างมูลค่าเพิ่มให้น้ำ โดยมีเป้าหมาย 10 ล้าน ลบ.ม. พร้อมพัฒนา Smart Water Platform รวมทั้งมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อาทิ โซลูชันสิ่งแวดล้อม และสาธารณูปโภคสำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ
ส่วนการเติบโตในปีที่ผ่านมา มียอดขายน้ำและบำบัดน้ำเสียในประเทศไทย 121 ล้าน ลบ.ม. เติบโต 4% แบ่งเป็นยอดขายน้ำดิบ 32 ล้านลูกบาศก์เมตร และปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม 6 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่ปริมาณยอดขายและบริหารน้ำในเวียดนาม อยู่ที่ 34 ล้าน ลบ.ม. เติบโตจากปีก่อนหน้า 18%
ด้าน กลุ่มธุรกิจไฟฟ้า ปีนี้จะมุ่งพัฒนานวัตกรรมและโซลูชั่นพลังงานทดแทน เช่น สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) และการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) พร้อมเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้วรวม 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่ง 453 เมกะวัตต์ จะมาจากพลังงานหมุนเวียน โดยเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) 283 เมกะวัตต์
ส่วนปี 2566 ที่ผ่านมา ได้เซ็นสัญญาเพิ่มอีก 50 เมกะวัตต์ จากโครงการโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มอีก 42 สัญญา และการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) เฟส 1 จำนวน 5 โครงการ โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125.4 เมกะวัตต์
ธุรกิจดิจิทัล เร่งขับเคลื่อนการทำ Digital Transformation ก้าวสู่การเป็น Technology Company ภายในสิ้นปี 2567 นี้ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาส่วนต่างๆ ภายใน Ecosystem ของ WHA Group ให้แข็งแรงและครบวงจรมากขึ้น ผ่านภารกิจ “Mission To The Sun” รองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และสร้างมูลค่าเพิ่มที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าและสอดคล้องกับเมกะเทรนด์ของโลก เพื่อเป็น Backbone ให้กลุ่มธุรกิจต่างๆ เช่น Green Logistics ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชันที่รวมบริการต่าง ๆ (Super Driver App) สำหรับลูกค้ายานยนต์ไฟฟ้าภาคธุรกิจ เช่น การบริหารยานพาหนะ (Fleet Management) การวางแผนเส้นทาง (Route Optimization) และการเชื่อมโยงโครงข่ายสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Roaming) เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้าดำเนินธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2593 (100% Circularity by 2050) ผ่านการดำเนินงานภายใต้ 3 หลักการ ได้แก่ Design & Resource, Green Products และ Operation Excellence โดยปี 2566 กลุ่มธุรกิจทั้ง 4 ได้มีการนำเสนอโครงการ Circular Economy ไม่น้อยกว่า 40 โครงการ