คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ทุกกลุ่มธุรกิจของเอสซีจีจะเร่งสร้างการเติบโตผ่านนวัตกรรมรักษ์โลก – พลังงานสะอาด – Low Carbon ทั้งสำหรับทำตลาดในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสอดคล้องกับทิศทางการขับเคลื่อนของโลกที่มุ่งสู่ความยั่งยืน และการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายในการก้าวสู่ Net zero จากดีมานด์ในตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมากในอนาคต สะท้อนจากสัดส่วนยอดขายมากกว่าครึ่ง หรือ 54% ของยอดขายในปี 2566 มาจากสินค้าในกลุ่ม SCG Green Choice
รวมทั้ง เร่งพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมมูลค่าสูงหรือ HVA (High-Value Added Products & Services) เพื่อสามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว สามารถรับมือกับความท้าทาย และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานและค่าขนส่งผันผวน เศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ การมีสินค้า HVA และตอบโจทย์ Green จะทำให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตได้อย่างเข้มแข็งในระยะยาว เช่น นวัตกรรมปูนคาร์บอนต่ำ สมาร์ทโซลูชันเพื่อการอยู่อาศัย พลาสติกรักษ์โลก บรรจุภัณฑ์ยั่งยืนที่ใช้ซ้ำ และรีไซเคิลได้ โซลูชั่นพลังงานสะอาดครบวงจร และนวัตกรรมเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงจากโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เน้นบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
“คาดว่าในปีนี้จะสามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ 20% ทั้งจากโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ที่ลงทุนไว้ รวมทั้งการทรานสฟอร์มธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนและคาร์บอนต่ำ ที่แม้ในช่วงแรกจะมีต้นทุนการลงทุนที่สูง แต่เป็นธุรกิจมูลค่าสูงที่สามารถรักษาผลตอบแทนได้ในระยะยาวตลอด 10-30 ปีนี้ และเป็นการรักษาความมั่นคงของธุรกิจได้ในระยะยาว รวมทั้งเป็นการสร้างโอกาสที่มากขึ้นทั้งในตลาดประเทศไทยและต่างประเทศ ต่างจากการลงทุนในกลุ่มคาร์บอนสูง ที่อาจจะมีกำไรในระยะสั้นแต่ไม่มั่นคงในระยะยาว”
สำหรับรายละเอียดการดำเนินงานและการขับเคลื่อนของแต่ละกลุ่มธุรกิจเอสซีจี ประกอบด้วย
ธุรกิจเคมิคอลส์ หรือ SCGC
– ตลาดปิโตรเคมีมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จากความต้องการสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นและอุปทานที่ลดลง
– ธุรกิจจะเร่งเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาพลาสติกรักษ์โลก รวมทั้งสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High-Value Added Products & Services – HVA) โดยที่ผ่านมามีดีมานด์ในตลาดมากขึ้น ส่งผลให้มีสัดส่วนยอดขาย 39% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน และช่วยรักษาความสามารถการแข่งขันในภาวะตลาดฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี
– โปรเจ็กต์สำคัญอย่าง ‘โครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์’ ดำเนินการก่อสร้างลุล่วงตามแผนภายใต้งบประมาณที่กำหนดไว้ การเดินเครื่องจักรและทดสอบประสิทธิภาพการเดินโรงงานทั้งระบบเป็นไปได้ด้วยดี คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567
– ส่วนกลุ่มพลาสติกรักษ์โลก ‘SCGC GREEN POLYMER’ ส้รางยอดขายในปีที่ผ่านมาได้ 218,000 ตัน เพิ่มขึ้น 56% จากปีก่อน พร้อมตั้งเป้าเพิ่มเป็น 1 ล้านตัน ในปี 2573
– มีแผนขยายสู่ ‘อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า’ ด้วยนวัตกรรมพลาสติกสำหรับการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์น้ำหนักเบา ช่วยประหยัดพลังงาน และความร่วมมือกับ Denka ในการผลิตและจำหน่ายอะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ส่วนประกอบสำคัญสำหรับนำไฟฟ้าในการผลิตขั้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบชาร์จไฟได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีปริมาณความต้องการสูง
ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน
– ศักยภาพในการบริหารต้นทุนพลังงาน โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนมาอยู่ที่ 40%
– พัฒนาแพลตฟอร์ม ‘KITCARBON’ (คิดคาร์บอน) โซลูชั่นการออกแบบอาคารที่ช่วยคำณวนการปล่อย CO2 ในโครงการก่อสร้างต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทำตลาด รับการฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างต่างๆ ทั้งตลาดในประเทศและตลาดอาเซียนที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น
– ขยายตลาด ‘ปูนคาร์บอนต่ำ’ ซึ่งสร้างการยอมรับได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งจากคุณภาพที่แข็งแรง ทนทานและผิวเรียบเนียนเป็นพิเศษ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 15% และสามารถขยายการส่งออกไปยังอเมริกาและมาเลเซียได้แล้ว
– เตรียมออก ‘ปูนคาร์บอนต่ำ เจนเนเรชันที่ 2′ ซึ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นอีก 5% จากคาร์บอนที่ตำกว่าปูนพอร์ตแลนด์ 10% เป็น 15%
ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง
– เติบโตได้ต่อเนื่อง จากการบริหารจัดการต้นทุนด้วยการปรับใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต
– พัฒนาสมาร์ทโซลูชันตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการประหยัดพลังงาน มีสุขอนามัยที่ดี ห่างไกล PM 2.5 และมีความปลอดภัยในการใช้ชีวิต เช่น ‘SCG Active Air Quality’ นวัตกรรมเติมอากาศดีให้บ้าน ป้องกันมลพิษ ฝุ่น PM 2.5 เชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส ‘หลังคาเอสซีจี เมทัลรูฟ รุ่น คอมฟอร์ท ลอน Snap Lock’ นวัตกรรมหลังคาช่วยป้องกันเสียงจากภายนอก และกันความร้อน ประหยัดการใช้พลังงานภายในบ้าน และ ‘SCG Solar Roof Solutions’ ซึ่งมียอดขายเติบโตโดดเด่น เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน
– ขยายสมาร์ทโซลูชันสู่ตลาดใหม่ ๆ อาทิ ติดตั้งนวัตกรรมบำบัดอากาศเสียพร้อมประหยัดพลังงาน ‘SCG Air Scrubber’ ให้อาคาร Keppel Bay Tower โครงการอสังหาฯ ระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสิงคโปร์ และเป็นอาคารแห่งแรกในสิงคโปร์ที่ได้รางวัล Green Mark Platinum (Zero Energy) หรือรางวัลอาคารประหยัดพลังงาน ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวช่วยประหยัดพลังงานจากระบบปรับอากาศได้สูงสุด 30%
ธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล
– ขยายความแข็งแกร่งสู่ตลาดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง อย่างภูมิภาค SAMEA (เอเซียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา) โดย SCG International ตั้งสำนักงานในกรุงริยาด ซาอุดิอาระเบียอย่างเป็นทางการ พร้อมเป็น International Supply Chain Partner บริหารจัดการตั้งแต่การหาแหล่งผลิตสินค้าจนถึงการสร้างตลาดให้คู่ค้าจากทั่วทุกมุมโลก ขยายโอกาสธุรกิจและเจาะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ (Giga Project)
– ร่วมสร้างสังคม Net Zero ผ่านกลุ่มสินค้าซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างรักษ์โลก พร้อมด้วยกลุ่มสินค้าวัตถุดิบ ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม กระดาษและแพคเกจจิ้ง
ธุรกิจเอสซีจี คลีนเนอร์ยี่
– ธุรกิจพลังงานสะอาดครบวงจร มีดีมานด์มากขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของโลก และจากจุดแข็งของธุรกิจด้านการบริการที่มีความน่าเชื่อถือ ทำให้มีโอกาสเติบโตอีกมาก
– การพัฒนาระบบ Smart Grid ที่ช่วยให้การซื้อ-ขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเข้าถึงได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยปี 2566 มีกำลังการผลิตที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ รวม 450 เมกะวัตต์
– การขยายโครงการโซลาร์รูฟ โดยได้ติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในหลายพื้นที่ อาทิ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล และเตรียมขยายไปยังตลาดอาเซียน ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ในปี 2567
ธุรกิจแพคเกจจิ้ง หรือ SCGP
– การเติบโตของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในปี 2566 ที่ผ่านมา จากความต้องการภาคบริโภคในเวียดนาม และอินโดนีเซียเริ่มฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสินค้าส่งออก โดยเฉพาะอาหารแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยง
– ส่วนในปี 2567 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมีแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวและส่งออก
– เพิ่มโซลูชันบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมขยายกำลังผลิตและ M&P (Merger & Partnership) ในธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ บรรจุภัณฑ์อาหาร และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ Bio-Solutions ที่เป็นเมกะเทรนด์และเติบโตสูง
– การบริหารต้นทุนและการผลิตสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ นำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต เพิ่มสัดส่วนใช้พลังงานทางเลือกเป็นร้อยละ 35 ของการใช้พลังงานทั้งหมด เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วย ESG (Environmental, Social, Governance) และการพัฒนาบุคลากร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการ เอสซีจีในปี 2566 ที่ผ่านมา รายได้ลดลงจากปีก่อนหน้า 12% โดยมีรายได้เกือบ 5 แสนล้านบาท จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก และตลาดปิโตรเคมีที่อ่อนตัว ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ลดลง และราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งยังไม่ได้รวมยอดขายของ SCG Logistics เข้ามาในพอร์ต รวมทั้งการด้อยค่าสินทรัพย์โรงงานซีเมนต์ในเมียนมา และรวมผลประกอบการของโรงงานปิโตรเคมี ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals – LSP) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ อย่างไรก็ตาม เอสซีจียังคงรักษาความมั่นคงของสถานะการเงินได้อย่างต่อเนื่อง สิ้นปี 2566 มีเงินสดคงเหลือ 68,000 ล้านบาท
คุณธรรมศักดิ์ กล่าวปิดท้ายว่า “เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี ซึ่งมีโอกาสเติบโตอีกมาก หากเร่งผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพร้อมเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และอำนวยความสะดวกในการลงทุนเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ควรส่งเสริมการดำเนินธุรกิจตาม ESG ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกให้การยอมรับ เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว ล่าสุด เอสซีจี ได้รับดัชนีความยั่งยืนชั้นนำโลก ESG Industry Top Rated ลำดับที่ 1 จาก 125 บริษัทในกลุ่ม Industrial Conglomerate ทั่วโลก ซึ่งจัดอันดับโดย Morningstar Sustainalytics สะท้อนถึงธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่กับการพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน จากการดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ – ภายใต้เชื่อมั่น โปร่งใส)