หลังเริ่ม Diversify โมเดลธุรกิจให้หลากหลายเพื่อลบภาพจำการเป็น Mobility Provider ด้วยการเพิ่มความหลากหลายในธุรกิจไลฟ์สไตล์มากขึ้น ล่าสุด บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR (โออาร์) ได้พัฒนาต้นแบบ OR Space ผ่าน ‘พีทีที สเตชั่น แฟลกชิป วิภาวดี 62′ (PTT Station Flagship วิภาวดี 62) ที่มีสัดส่วนธุรกิจไลฟ์สไตล์ภายในสถานี 80% ขณะที่ 20% เป็นกลุ่ม Oil&Gas
คุณดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โออาร์ เปิดเผยว่า พีทีที สเตชั่น แฟลกชิป วิภาวดี 62 ใช้เงินลงทุนกว่า 600 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาพื้นที่กว่า 10 ไร่ กว่า 5 พันตารางเมตร เพื่อนำเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ของโออาร์ ที่มีมากกว่าแค่ธุรกิจน้ำมันและโมบิลิตี้ เพื่อฉายภาพทิศทางการขยายธุรกิจของโออารณ์ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผ่านการพัฒนา OR Space เพื่อเป็นต้นแบบสถานีบริการแห่งอนาคตค ที่ขับเคลื่อนตามแนวทาง SDG Model ที่พร้อมสร้างโอกาสให้แก่ผู้คน ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
โดยสถานีบริการแห่งนี้เป็นแห่งแรกที่มีองค์ประกอบทั้งในมิติของ S = Small ที่มุ่งเน้นให้โอกาสคนตัวเล็ก D = Diversified เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตในทุกรูปแบบผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ของโออาร์ และ G = Green ที่มุ่งเน้นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) ทำให้ภายในสถานีแห่งนี้ มีบริการที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์อย่างครบถ้วน ทั้งจาก Core Business ในกลุ่ม Mobility อย่าง Gas Station, Fit Auto หรือ EV Station ขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ถึง 80% เป็นพื้นที่รวบรวมกว่า 30 ร้านค้า ทั้งร้านค้าภายในอีโคซิสเต็มของโออาร์ รวมทั้งพันธมิตรเพื่อรองรับการเข้ามาใช้บริการของประชาชนทั้งการรับประทานอาหาร ดูแลสุขภาพ ตัดผม หรือแม้แต่ซักผ้า
“15-20 ปีก่อน คนอาจจะเข้ามาที่ PTT Station เพื่อเติมน้ำมันอย่างเดียว ซึ่งที่ผ่านมาเราพยายาม Diversified ไปสู่ธุรกิจที่หลากหลายให้รองรับไลฟ์สไตล์ผู้คนได้มากขึ้น แม้น้ำมันจะยังเป็น Cire Business แต่เราต้องการให้ความเป็น OR Space ชัดเจนมากขึ้น เพื่อดึงดูดผู้คนเข้ามาในอีโคซิสเต็มได้มากขึ้น โดยสถานีแฟลกชิพแห่งนี้จะเป็นต้นแบบเพื่อทดสอบโมเดลธุรกิจเหล่านี้สำหรับการขยายสาขาเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ใหญ่ขนาดนี้ หรืออาจพัฒนาแบบสุดโต่งที่บางสถานีอาจมีเพียงแค่สถานีชาร์จอีวีและร้านค้าต่างๆ โดยที่ไม่มี Gas Station หรือไม่มีบริการเติมน้ำมันภายในสถานีก็เป็นไปได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและจะสามารถเริ่มเห็นโมเดลต่างๆ เหล่านี้ได้ภายในปีหน้า”
ภายในพีทีที สเตชั่น แฟลกชิป วิภาวดี 62 ยังมีความเป็น Green Ecosystem เพื่อรองรับเป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของโออาร์ ภายในปี 2030 และ Net zero ในปี 2050 ด้วยการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยคำนวณคาร์บอนฟุนพรินท์ภายในสถานี ผ่านการตรวจจับระยะเคลื่อนรถ ยี่ห้อรถ เพื่อคำนวณ CO2 ที่เกิดขึ้นของผู้มาใช้บริการ พร้อมทั้งการใช้พลังงานสะอาดจากแผงโซลาร์เซลล์ รวมท้ังติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานผ่านแบตเตอรี่ (G-Box) เพื่อสามารถเก็บพลังงานไว้ใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งการออกแบบ Green Station ที่ออกแบบอาคารร้านค้าต่างๆ ให้สอดแทรกไปกับพื้นที่ธรรมชาติ และการออกแบบพื้นที่ภายในสถานีให้เป็น Universal Design เพื่อรองรับการใช้งานได้ทุกคน รวมไปถึงการใช้บรรจุภัณฑ์อัพไซเคิลและย่อยสลายได้ภายในร้านคาเฟ่ อเมซอน หรือพาคามาร่า รวมทั้งการจัดการ Waste Management ผ่านการคัดแยกขยะภายในสถานี เป็นต้น
สำหรับไฮไลท์ 30 ร้านค้าภายในสถานีแฟลกชิกแห่งนี้ อาทิ คาเฟ่ อเมซอน คอนเซ็ปต์ สโตร์ในรูปแบบพิเศษ “Coffee X People” ออกแบบเพื่อการใช้งานที่หลากหลายของผู้บริโภคที่มานั่งในร้าน โดยมี Specialty Bar สำหรับผู้สนใจกาแฟ รวมทั้งมีพื้นที่สำหรับครอบครัว และพื้นที่ Co-Working Space รวมทั้งมีเมนูพิเศษที่มีเฉพาะที่สาขานี้เท่านั้น รวมทั้งร้านค้าแบรนด์ใหม่ พร้อมเมนูพิเศษ เช่น กาแฟพาคามาร่า (Pacamara) ซึ่งเป็นสาขาแรกที่เปิดให้บริการในสถานีบริการ และเป็นสาขาแรกที่มีเมนูอาหารและเบเกอรี่ รวมถึงร้านโอ้กะจู๋ ซึ่ง สาขาขนาดใหญ่ 2 ชั้น รองรับลูกค้าได้กว่า 180 คน พร้อมบริการแบบ Drive Thru, Dine-In, Takeaway และ Delivery
นอกจากนี้ ยังมีร้านไทยเด็ดต้นแบบ ที่สนับสนุนสินค้าชุมชนจากทั่วประเทศ ร้านภัทรพัฒน์ ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิชัยพัฒนา และ “Common Space” หรือพื้นที่เพื่อสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนเพื่อให้ชุมชนมีรายได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งบริการเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ทั้งร้านสะดวกซักอ๊อตเทริ ร้านตัดผมเนเวอร์เซย์คัท ร้านในกลุ่มสุขภาพและความงาม และร้านค้าย่อยๆ ตั้งอยู่ทั่วพื้นที่สถานี ซึ่งในอนาคตทางโออาร์มีแผนดึงแม็กเน็ตใหม่ๆ เข้ามาอยู่ในอีโคซิสเต็ม ทั้งแบรนด์บิวตี้จากเกาหลี หรือการพัฒนาโรงแรมขนาดเล็กภายในสถานี สำหรับรองรับกลุ่มผู้เดินทาง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นภายในปีนีหน้าเช่นกัน
“ในส่วนของกลุ่ม Mobility นั้น พีทีที สเตชั่น แฟลกชิป วิภาวดี 62 มีบริการเพื่อตอบโจทย์การใช้พลังงานทุกรูปแบบ เพื่อรถทุกคัน ทั้งผลิตภัณฑ์น้ำมันคุณภาพเกรดพรีเมียม (Super Power) และเกรดมาตรฐาน (Xtra Save) ซึ่งในปีหน้า ปตท. มีความพร้อมใช้น้ำมัน PM10 ตามมาตรฐานยุโรป เพื่อลดการสร้างมลพิษและฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีสถานีที่พร้อมรองรับแล้วกว่า 300 แห่ง รวมถึงจุดชาร์จ EV Centralized Charger ที่สามารถให้บริการได้ 6 หัวชาร์จพร้อมกัน รองรับการชาร์จไฟสูงสุด 180 Kw อีกทั้งยังมีโชว์รูมรถ BYD ตามแนวโน้มความต้องการรถไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ด้านการขยายจุดชาร์จ EV ในปีนี้ได้ขยายให้ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด และทยอยติดตั้งให้ครบ 800 หัวจ่าย ขณะที่ในปีหน้าจะทยอยเพิ่มเติมอีกราว 500-600 หัวจ่าย ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอรองรับปริมาณการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ที่ภาพรวมมีการใช้อยู่ราว 8 หมื่นคัน”