เพราะ “ระยอง คือ บ้าน” ในฐานะหนึ่งพื้นที่หลักที่ธุรกิจอย่าง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ได้เข้าไปดำเนินธุรกิจอยู่ และถือเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้าน การดูแลความสะอาดเรียบร้อยภายในบ้าน รวมทั้งส่งเสริมให้ทุกคนภายในบ้านอยู่กันอย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมทั้งมีสภาพแวดล้อมที่สะอาดและปลอดภัย จึงถือเป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญที่ต้องทุกคนภายในบ้านไม่อาจละเลยได้
GC จึงได้จับมือกับ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) รวมทั้ง ชุมชนตำบลเนินฆ้อ และตำบลทางเกวียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ร่วมกันจัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลนพร้อมปล่อยปูแสม ภายใต้โครงการ “ยิ่งปลูก ยิ่งดี” เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้สิ่งแวดล้อม ทั้งช่วยลดและดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศ กักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ พร้อมช่วยส่งเสริมอาชีพ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนในชุมชน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายในจังหวัดระยอง
สำหรับการขับเคลื่อนโครงการครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากหลายภาคส่วนภายในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ เอกชน และผู้คนในชุมชน โดย ทช. และ GC ร่วมกับชุมชนเนินฆ้อและทางเกวียน จังหวัดระยอง ร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม พร้อมทั้งส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลน โดยวางแผนต่อยอดขยายผลไปยังจังหวัดจันทบุรี ตราด และเพชรบุรี รวมกว่า 3,400 ไร่ ซึ่งเมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ นอกจากจะทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนแล้ว จะสามารถสนับสนุนการสร้างงานสร้างอาชีพ สร้างความแข็งแรงทางด้านเศรษฐกิจให้กับผู้คนในชุมชนด้วย
กิจกรรมครั้งนี้มี คุณไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วย คุณอภิชัย เอกวนากุล รักษาการอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และ ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GC พร้อมทั้งผู้บริหาร ชุมชนในพื้นที่ และพนักงานจิตอาสาร่วมกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ณ พื้นที่ตำบลเนินฆ้อ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) กล่าวว่า GC มีความมุ่งมั่นพร้อมสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน ผ่านแนวคิด Chemistry for Better Living ที่ต้องการส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นต่อไปในฐานะพลเมืองที่ดีของโลก โดยเฉพาะการช่วยดูแลรักษาสภาพแวดล้อม ผ่านการปลูก ฟื้นฟู และรักษาป่าร่วมกับภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 20% ภายในปี 2030 และพร้อมเดินหน้าสู่ Net Zero ในปี 2050
“GC ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเพิ่มแนวทางจัดหาคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2013 โดยปัจจุบัน ดำเนินงานแล้วในพื้นที่กว่า 6,000 ไร่ ส่วนการขับเคลื่อนโครงการครั้งนี้ มีแผนดำเนินงานให้ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด คือ จังหวัดระยอง ตราด จันทบุรี และเพชรบุรี รวมทั้งหมดประมาณ 3,500 ไร่ โดยคาดว่าจะช่วยลดคาร์บอนได้ประมาณ 23,700 ตัน CO2e ต่อปี พร้อมทั้งยังส่งเสริมกิจกรรมปล่อยปูพันธุ์แสม ณ สะพานรักษ์แสม เพื่อเพาะพันธุ์ปูในพื้นที่อนุบาล ช่วยส่งเสริมอาชีพ สร้างรายได้ให้กับชาวประมงในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตชุมชนอีกด้วย”
ด้าน คุณอภิชัย เอกวนากุล รักษาการอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า โครงการปลูกป่าชายเลน ทำให้เห็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อร่วมฟื้นฟูป่าชายเลนที่เสื่อมโทรมหรือถูกบุกรุก ให้กลับมามีระบบนิเวศที่มีความอุดมสมบูรณ์ พร้อมช่วยแก้ไขวิกฤตโลกร้อน จากการเพิ่มพื้นที่ในการช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก และยังสร้างประโยชน์ให้ชุมชนจากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิต ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานทั้งปริมาณคาร์บอนเครดิต รวมถึงการควบคุม กำกับ ดูแล และติดตามการดำเนินงานโครงการฯ การยื่นคำขอขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER กับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลและบริหารจัดการโดยตรง
โครงการนี้นับเป็นอีกหนึ่ง Best Practice ในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างแนวทางในการพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกัน ภายใต้ความร่วมมือจาก Stakeholder ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุนชน ทำให้เกิดเป็นโครงการที่สามารถสร้างให้เกิดประโยชน์ทั้งในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยังประโยชน์ในการสร้างให้เกิดงาน อาชีพ และเศรษฐกิจชุมชนที่แข็งแรงในอนาคตต่อไป