เห็นได้จากการลงทุนในยานพาหนะที่ใช้พลังงานไฟฟ้าและพลังงานทางเลือก พร้อมกับเปิดตัวหลากหลายโครงการที่จะช่วยให้องค์กรลดปริมาณการปล่อยคาร์บอน เช่น โครงการชดเชยการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่ง เพื่อลดคาร์บอนฟุ้ตพริ้นท์และเพื่อให้ DHL บรรลุเป้าการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2050
GoGreen Plus นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ DHL ได้เปิดตัวขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าของบริษัทได้มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่งพัสดุ หรือสิ่งของที่ลูกค้านำมาส่งที่ DHL โดยพาหนะที่ใช้ในการขนส่งจะใช้เชื้อเพลิงสำหรับการเดินอากาศที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Aviation Fuel (SAF) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลกที่บริษัทขนส่งได้นำเสนอบริการนี้
โดยบริการนี้ได้เริ่มให้บริการในสหราชอาณาจักร อิตาลี เดนมาร์ก สวีเดน แคนาดา ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สำหรับลูกค้า DHL Express ในการขนส่งไปทั่วโลก ผ่านการใช้ MyDHL+ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการขนส่งและติดตามพัสดุออนไลน์ โดยลูกค้าสามารถเลือกใช้ SAF ในการขนส่งได้อย่างยืดหยุ่นเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนตามที่ได้วางแผนไว้
ซึ่งในที่สุดแล้ว GoGreen Plus จะสามารถให้บริการทุกคนทั่วโลกได้ จากการจับมือของ DHL และ bp and Neste ซึ่งเป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงเครื่องบินในการส่งพลังงานยั่งยืน SAF และจะเป็นผู้จัดหา SAF ไปยังศูนย์ DHL Express ทั่วโลก เพื่อให้สามารถบริการ GoGreen Plus ได้อย่างทั่วถึง โดยการใช้ SAF จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 80% ตลอดอายุการใช้งานเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงเครื่องบินทั่วไป
การใช้บริการ GoGreen Plus ยังช่วยให้ลูกค้า DHL สามารถลดการปล่อยคาร์บอนตาม Scope 3 ของลูกค้าได้อีกด้วย ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่คุณค่าของบริษัทที่ครอบคลุมทั้งการขนส่งและการกระจายสินค้าที่ปลายน้ำ
ด้าน John Pearson ซีอีโอของ DHL Express กล่าวว่า “การลงทุนใน SAF ของ DHL สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่เพื่อให้ลูกค้าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่งพัสดุของพวกเขาได้ โดย SAF ยังเป็นช่องทางหลักในการลดการปล่อยคาร์บอนทางอากาศ ดังนั้น โครงการนี้เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดที่จะช่วยลูกค้าของเราในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนกว่าเดิม”