บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ร่วมกับ CRRC Dalian ผู้ผลิตรถไฟรายใหญ่จากประเทศจีน ได้รับโอกาสจากกระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผลักดันนโยบาย EV on Train
พร้อมร่วมมือกับภาควิชาการ เริ่มทดสอบระบบสับเปลี่ยนขบวน (Shunting) ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยหัวรถจักรไฟฟ้า (EV) หรือ “MINE Locomotive” แบตเตอรี่ขนาด 4.1 MWh สามารถวิ่งได้ระยะกว่า 300 กิโลเมตร ผสานเทคโนโลยีการอัดประจุ Ultra-Fast Charge ของ EA Anywhere ใช้เวลาชาร์จเพียง1 ชั่วโมง และประหยัดต้นทุนพลังงานได้กว่า 40% เมื่อเปรียบเทียบกับหัวรถจักรดีเซล
คุณอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นับเป็นโอกาสสำคัญในการพลิกโฉมประวัติศาสตร์การคมนาคมทางราง ที่จะขับเคลื่อนประเทศให้เข้าสู่สังคมปลอดคาร์บอนได้เร็วยิ่งขึ้น โดย EA ได้นำนวัตกรรมหัวรถจักรไฟฟ้า “MINE Locomotive” สู่เมืองไทยภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อสร้างประโยชน์ในทุกมิติและพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐ เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานและการคมนาคมของประเทศชาติ
สำหรับ MINE Locomotive หัวรถจักรไฟฟ้าพร้อมตู้แบตเตอรี่แยก (Power Car) เพื่อเพิ่มระยะทางการวิ่ง รวมแบตเตอรี่ขนาด 4.1 MWh สามารถชาร์จเต็มภายใน 1 ชั่วโมง ออกแบบตามมาตรฐานการรถไฟไทยเพื่อการใช้งานหลากหลาย ทั้งการสับเปลี่ยนขบวน (Shunting) เข้าชานชาลาสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่อลดมลพิษในอาคารผู้โดยสารและสามารถลากขบวนสินค้า (Cargo train) จาก ICD ลาดกระบังถึงแหลมฉบัง และขบวนโดยสาร (Passenger Train) ในเขตเมืองและระหว่างจังหวัด ด้วยความเร็วสูงสุด (Max Operating Speed) 120 km/h พร้อม Regenerative Braking ที่สามารถชาร์จไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่จากการเบรค
โดยจากการทดสอบประเมินว่าสามารถวิ่งได้ระยะกว่า 300 กิโลเมตร ตามแต่การใช้งาน ซึ่งจะประหยัดต้นทุนพลังงานได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันดีเซล รวมถึงการวัดผลกระทบด้านคุณภาพอากาศของหัวรถจักร EV อยู่ในระดับ 27 AQI. ซึ่งยังอยู่ในระดับคุณภาพอากาศที่ดี ตามดัชนีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษ หากเทียบกับผลกระทบของรถจักรดีเซลที่สูงถึงในระดับ 181 AQI. รวมทั้งในแง่การลงทุนขยายระบบเพื่อรองรับการใช้งานทั่วประเทศ ก็มีอัตราการลงทุนต่ำกว่าระบบการจ่ายไฟฟ้าแบบเดิม โดยเมื่อเทียบกับระบบการจ่ายไฟแบบเหนือหัวจะลดการลงทุนลงได้มากกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
“EA เล็งเห็นว่า เทรนด์โลกกำลังเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานไฟฟ้า นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของประเทศไทย ที่จะส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่ยกระดับผลิตภัณฑ์โดยฝีมือของคนไทยให้ทัดเทียมกับนานาชาติอย่างก้าวกระโดด EA จึงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ “Green Product” โดยยกระดับการขนส่งด้วยยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งรถโดยสารไฟฟ้า (MINE Bus) รถกระบะไฟฟ้า (MINE MT30) เรือโดยสารไฟฟ้า (MINE Smart Ferry) และ หัวรถจักรไฟฟ้า (MINE Locomotive) เพื่อตอบโจทย์การคมนาคมด้าน รถ-เรือ-ราง ช่วยพัฒนานวัตกรรมด้านความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อร่วมพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคต (New S-curves) เพื่อพัฒนาประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตามนโยบายภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy)”