ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นหนึ่งประเด็นปัญหาที่สร้างความวิตกกังวลช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกก์ต่างๆที่ได้รับความเสียหายและไม่ได้ใช้งานแล้วนั้นหากไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธีก็จะส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมตามมา
บริษัทค้าปลีกสินค้าเทคโนโลยีชั้นนำของอังกฤษอย่าง Currys ได้นำแคมเปญ Cash for Trash กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ได้นำร่องแคมเปญครั้งแรกในเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ด้วยการโปรโมตบนบิลบอร์ดแบบ Interactive ที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าและไม่ได้ใช้งานแล้ว ที่ร่วมสร้างสรรค์โดยเอเจนซี่โฆษณาอย่าง AMV BBDO และ Spark Foundry เพื่อหวังสร้างการรับรู้ถึงปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้คนที่เดินผ่านไปมา
โดยบิลบอร์ดดังกล่าวจะปรากฏให้เห็นใน 3 เมือง ได้แก่ ลอนดอน ลีดส์ และแมนเชสเตอร์ ซึ่งเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่ามีอุปกรณ์เทคโนโลยีเก่าๆ และซากขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก โดยการโปรโมตครั้งนี้เป็นการเชิญชวนให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมานำอุปกรณ์เทคโนโลยีเก่าหรือที่ไม่ได้ใช้งานแล้วมาแลกเป็นวอเชอร์มูลค่า 5 ปอนด์ เพื่อนำไปซื้อไอเท็มชิ้นใหม่ที่ร้าน Currys ทั้งนี้ ก็เพื่อช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีนั่นเอง
นอกจากนี้ Currys ในฐานะที่เป็นบริษัทรีไซเคิลขยะเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในอังกฤษด้วยนั้น ยังเผยข้อมูลว่าในแต่ละปีบริษัทได้รีไซเคิลขยะเทคโนโลยีจำนวน 65,000 ตัน นับตั้งแต่ปี 2007 บริษัทช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ในหลุมฝังกลบแล้วเป็นจำนวนราว 800,000 ตัน
ด้าน Corin Mills หัวหน้าด้านแบรนด์ การสื่อสารและการวางแผน แห่ง Currys กล่าวว่า “เรานำแคมเปญ Cash for Trash กลับมาอีกครั้งเนื่องจากเรารู้ว่าถึงแม้ว่าภาวะเงินเฟ้อกำลังพุ่งสูงขึ้น แต่ผู้คนก็ยังมีอุปกรณ์เทคโนโลยีที่สะสมไว้ที่บ้านซึ่งพวกเขาอาจนำมาแลกเป็นเงินได้”
เขากล่าวเสริมว่า “ป้ายบิลบอร์ดนี้ช่วยให้เราสามารถพูดถึงแคมเปญต่างๆ ของเราในรูปแบบที่เป็นนวัตกรรม และยังเปิดโอกาสให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมานำอุปกรณ์ต่างๆ มาแลกเป็นวอเชอร์ได้ นอกจาก Cash for Trash แล้ว เรายังได้เปิดตัวแคมเปญ Price Lock และ แคมเปญ 12-Month Pay Delay อีกครั้งด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นแคมเปญที่เรานำเสนอราคาสินค้าที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และลูกค้าก็ยังสามารถเลือกเวลาชำระค่าสินค้าได้”
นับเป็นหนึ่งในแคมเปญดีๆ ที่นอกจากจะช่วยให้ผู้บริโภครับรู้ถึงปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ยังช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาในแง่ของค่าครองชีพของผู้บริโภคที่กำลังพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบัน น่าจะถูกใจหลายๆ คนที่กำลังมองหาไอเท็มใหม่ๆ อยู่นั่นเอง
