เป้าหมายของยักษ์ใหญ่ด้านเฟอร์นิเจอร์จากสวีเดนอย่าง Ikea คือการเป็นแบรนด์ “climate positive” ที่ทุกมิติของการดำเนินธุรกิจจะคำนึงถึงปัญหาโลกร้อนและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ โดยก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวหลากหลายแคมเปญที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้เช่าเฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงวิธีการขนส่งสินค้าที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่บรรยากาศ
ซึ่งในระยะยาวต้องการให้ลูกค้าทุกคนสามารถเดินทางมายัง Ikea ได้โดยส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด เป็นเหตุผลให้อิเกียสโตร์ ได้ติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าใหม่กว่า 200 เครื่อง ใน 18 รัฐของประเทศสหรัฐอเมริกา
ล่าสุด Ikea ได้จับมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง Electricify America ติดตั้งที่ชาร์จแบบ ultra-fast ช่วยให้ชาร์จรถยนต์ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ด้วยกำลังไฟ 150 กิโลวัตต์ และ 350 กิโลวัตต์ ที่แม้ลูกค้าจะใช้เวลาชาร์จเพียงสั้นๆ ระหว่างเดินเล่นภายในศูนย์แค่ราว 20 นาที ก็สามารถเพิ่มระยะทางการขับเคลื่อนรถยนต์ได้ไกลถึง 200-300 ไมล์ หรือกว่า 300 -500 กิโลเมตร เลยทีเดียว
Ikea ยังมีแผนขยายการติดตั้งที่ชาร์จสำหรับรถบรรทุกไฟฟ้า เพื่อรองรับการให้บริการขนส่ง Home Delivery เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสำหรับการขนส่งแบบ last mile delivery ภายในปี 2025 อีกด้วย
ด้าน Javier Quiñones ซีอีโอและประธานฝ่ายความยั่งยืนของ Ikea สหรัฐฯ กล่าวว่า “เราต้องการทำหน้าที่ของเราในการสร้างสรรค์เมืองที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำ และสามารถหายใจได้เต็มปอด เพื่อเป็นเมืองที่ผู้คนและสินค้าสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างสะดวก มีราคาจับต้องได้ และยั่งยืน รวมทั้งการช่วยให้ผู้คนเดินทางมายัง Ikea ได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น และให้พวกเขาผลิตและใช้พลังงานหมุนเวียนที่บ้าน”
ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ อิเกียพยายามส่งเสริมให้ลูกค้าเดินทางมายังสโตร์โดยหลีกเลี่ยงการใช้รถยนต์ โดยเฉพาะในยุโรป เช่น ในกรุงเวียนนนา มีการออกแบบสาขาโดยไม่มีที่จอดรถไว้คอยบริการ หรือในบางสาขาที่ลูกค้าสามารถเดินเท้า ขี่จักรยาน หรือนั่งรถสาธารณะ มาได้สะดวก เป็นต้น แต่หากลูกค้าซื้อสินค้าขนาดใหญ่ ทาง Ikea ก็ยังออฟเฟอร์ตัวเลือกในการจัดส่งด้วยจักรยานคาร์โกไฟฟ้า หรือ การเช่าเทรลเลอร์ผ่านแอปที่สามารถพ่วงกับจักรยานของลูกค้าได้ด้วย
เช่นเดียวกับในสหรัฐฯ ที่ทาง Ikea กำลังมองหาโลเกชั่นที่เหมาะสมโดยเฉพาะในการเปิดสาขาขนาดเล็กในเขตเมือง ที่สามารถอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางของลูกค้าให้สามารถเข้าถึงสโตร์ได้ด้วยรถประจำทาง การเดินเท้า หรือจักรยาน เพื่อให้มั่นใจว่าสโตร์เหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และเพื่อลดปัญหารถติด พร้อมกับลดการใช้พลังงาน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้าสต๊อกไว้เป็นจำนวนมาก
ด้านลูกค้าที่ยังรถยนต์ ก็สนับสนุนการหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์น้อยกว่า ด้วยการเพิ่มจุดชาร์ตรถยนต์ที่สโตร์เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนที่ชาร์จสาธารณะซึ่งยังมีจำนวนไม่เพียงพอ เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์เปลี่ยนมาใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตามเป้าหมายที่ทางการสหรัฐตั้งเป้าไว้นั้น ยังจำเป็นต้องจัดหาที่ชาร์จรถไฟฟ้าอีกกว่าหนึ่งล้านเครื่องภายในสิ้นทศวรรษนี้ หรือเพิ่มอีกราว 20 เท่าของที่ชาร์จที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายผลักดันการขายรถยนต์ใหม่ 50% ต้องมาจากรถยนต์ไฟฟ้าตามนโยบายที่รัฐบาลไบเดนได้วางไว้
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเพิ่มบริการเครื่องชาร์จสำหรับถยนต์อีวีของกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐ เริ่มมองเห็นได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการระหว่างที่รอชาร์จไฟรถยนต์อยู่ เช่น Whole Foods ที่้มีบริการ EV Charger มาหลายปีแล้ว หรือ Starbucks ที่เริ่มนำร่องให้บริการชาร์จอีวี ในสาขาที่อยู่ในเส้นทางที่ยังไม่มีจุดชาร์จรถอีวีมากนัก รวมถึง Walgreen ที่ประกาศแผนเพิ่มจุด Fast Charger จำนวนถึง 1,000 จุด ภายในสโตร์ของตัวเอง
