บริการสุขภาพ โดยเฉพาะการรักษาพยาบาลในกรณีฉุกเฉินต่างๆ ถือเป็นบริการประเภทเดียวในโลก ที่เมื่อเราต้องเดินเข้าไปรับบริการแล้ว จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าค่าบริการในแต่ละครั้งจะเป็นเท่าไหร่ ต่างจากการเข้าไปใช้บริการประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้บริการในโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี หรือรับประทานอาหารสุดหรูแค่ไหน ก็ยังมีราคาที่แน่นอนแจ้งไว้ ทำให้เราสามารถประเมินค่าใช้จ่ายในแต่ละครั้งได้
แต่หากเป็นค่ารักษาพยาบาล เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าค่าบริการนั้นจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน จนกว่าจะรับบริการเสร็จ และได้ใบแจ้งค่าบริการมา ซึ่งบางครั้งก็อาจทำให้หลายๆ คนต้องรู้สึกช็อคกับตัวเลขที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า
ดังนั้น เรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพจึงถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยง ที่ทั้งตัวเรารวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องไม่สามารถประเมินได้เลยว่า งบประมาณในส่วนนี้นั้นจะต้องใช้เท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ เพราะหลายครั้งที่การรักษาพยาบาลก็ไม่สามารถจบได้ภายในครั้งเดียว บางกรณีอาจต้องมีการติดตามอาการ ย้ายโรงพยาบาล รักษาต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีที่โรคร้ายแรงก็อาจต้องพบกับแพทย์เฉพาะทางหลายๆ ด้าน ดังนั้น หากต้องไปอยู่ในจุดนั้น ต้องหาวิธีช่วยลดภาระ ความกังวลใจต่างๆ ให้กับตัวเอง เพื่อให้สามารถโฟกัสกับการรักษาตัวเองในขณะนั้น เพื่อให้กลับมาแข็งแรงได้มากที่สุด
ใจความสำคัญของธุรกิจประกันจึงอยู่ที่การสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อประกัน ถึงความมั่นคงและปลอดภัยในการใช้ชีวิตในอนาคต เป็นผู้ที่เข้ามารับความเสี่ยงต่างๆ แทนลูกค้า ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด เจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือแม้แต่เป็นหลักทรัพย์ในยามเกษียณ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ แม้จะเป็นธุรกิจที่คอนเซ็ปต์ไอเดียในการขับเคลื่อนที่ดี แต่การถือครองประกันของคนไทย ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ เช่น ในเกาหลี หรือญี่ปุ่น ที่หัวข้อเกี่ยวกับการประกัน ความคุ้มครองต่างๆ กลายเป็นหัวข้อสนทนาในชีวิตประจำวันของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ขณะที่ความรู้ในเรื่องเหล่านี้ของคนไทยยังถือว่าน้อย และการเข้าถึงที่ต่ำอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มประกันสุขภาพ ที่อาจจะมีสัดส่วนไม่ถึงครึ่ง เมื่อเทียบกับประกันชีวิตที่อัตราถือครองอยู่ที่ราว 20% ซึ่งผู้ซื้อเองอาจจะมีหลายวัตถุประสงค์ในการซื้อ มากกว่าแค่เรื่องการประกันความเสี่ยง เช่น การใช้ประโยชน์เพื่อนำไปลดหย่อนภาษี เป็นต้น
การขับเคลื่อนครั้งล่าสุดจาก บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ผ่านกลยุทธ์ ‘Health 5.0’ พร้อมความคุ้มครองแบบ Super Health+ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยผลักดันให้ธุรกิจประกันสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ เพื่อเป็นตัวช่วยด้านความคุ้มครองสุขภาพ และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมในทุกกลุ่ม พร้อมทั้งลดเงื่อนไขหรือกำแพงที่เคยทำให้ผู้คนอาจจะเคยรู้สึกไม่ดีกับธุรกิจประกัน เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าและสามารถคุ้มครองได้จริงในแบบที่ตอบโจทย์ของแต่ละบุคคล พร้อมทั้งขยายขีดจำกัดของตลาดประกันของไทย ด้วยการเพิ่มอายุผู้ซื้อประกันได้จนถึง 90 ปี จากก่อนหน้านี้ จำกัดไว้ที่อายุ 80 ปีเท่านั้น โดยดูยาวไปจนถึงอายุ 99 ปีเลยทีเดียว รวมทั้งสามาถเพิ่มความคุ้มครองสุขภาพ สายตา และฟัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาและความต้องการของผู้คนในยุคนี้เพิ่มมากขึ้น
Health 5.0 วิธีคิดแบบใหม่ของประกันเจนเนอเรชันใหม่
คุณสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โลกในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้คนหันมาให้ความสำคัญดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดโควิด -19 ทำให้มองหาความคุ้มครองสุขภาพที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตน ขณะที่บริษัทประกันต้องสามารถตอบโจทย์ลูกค้าแบบ Outside In ปรับวิธีคิดในการทำธุรกิจด้วยการมองภาพให้กว้างกว่าแค่ในธุรกิจประกัน แต่ใช้แกนในเรื่องของการมีสุขภาพที่ดีมาเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ยึดไลฟสไตล์ของแต่ละคนมาเป็นเกณฑ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ มากกว่ามองแบบ Demograpic จากเพศ หรืออายุ แบบเดิม
นำมาสู่กลยุทธ์ “Health 5.0” ที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรมความคุ้มครองด้านสุขภาพ ที่ช่วยขจัดปัญหาที่เป็น Pain Point ของลูกค้า ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยังไม่สอดคล้องกับความต้องการหรือไลฟสไตล์ เพื่อออกแบบแบบประกันที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ และมีความเฉพาะตัว (Personalization) ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย (Generation) ทุกบทบาทของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นคนโสด คนมีครอบครัว วัยทำงาน วัยเกษียณ เจ้าของกิจการ พนักงานออฟฟิศ ฟรีแลนซ์ แม่บ้าน คนขับรถ พนักงานรักษาความปลอดภัย จะเป็นคนตัวเล็ก หรือตัวใหญ่ ไลฟ์สไตล์แบบไหน ก็สามารถเข้าถึงความคุ้มครองจากเมืองไทยประกันชีวิตได้ ผ่านความคุ้มครองสุขภาพแบบเหมาจ่าย Super Health+ ที่มีรูปแบบความคุ้มครองสุขภาพอย่างหลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการแต่ละกลุ่มได้อย่างครบถ้วน อาทิ เฮ้าส์คีฟปิ้ง ประกันสุขภาพชดเชยรายวัน ค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่ายต่อครั้ง ภายในวงเงิน 1-5 ล้านบาท หรือแบบรายปี 20-100 ล้านบาท เป็นต้น
“รูปแบบประกัน Super Health+ ถือเป็นหนึ่งนวัตกรรมทั้งวิธีคิดแบบใหม่ของบริษัทประกัน ที่ไม่ได้มองความคุ้มครอบจากธุรกิจประกันเป็นหลัก แต่มองให้กว้างมาเป็นการคุ้มครองความเสี่ยงตามการใช้ชีวิตของลูกค้าทุกกลุ่ม และพยายามลดเงื่อนไขต่างๆ ลงให้น้อยที่สุด เพื่อให้เป็นแบบประกันที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้แบบเฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง รวมทั้งการขยายอายุการรับประกัน เป็น 90 ปี และคุ้มครองไปจนถึงอายุ 99 ปี ให้สอดคล้องกับเทรนด์ Aging Society ที่คนจะเริ่มมีอายุมากขึ้น จึงมีความจำเป็นในการขยายความคุ้มครองให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน”
ภายใต้กลยุทธ์ MTL Health 5.0 เมืองไทย ยังได้พัฒนาและผสมผสานรูปแบบของการบริการและเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชัน MTL Click แอปพลิเคชัน ที่รวบรวมทุกบริการของเมืองไทยประกันชีวิต ไว้ในแอปเดียว เช่น รายละเอียดกรมธรรม์ ผลประโยชน์และความคุ้มครอง ช่องทางการเคลม รวมถึงการชำระเบี้ยประกัน, MTL Health Buddy ผู้ช่วยสุขภาพครบวงจร สามารถปรึกษาสุขภาพกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค การนัดหมายติดต่อเข้ารับการรักษา, เมืองไทยสไมล์คลับศูนย์รวมกิจกรรมความสุข รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ และแอปพลิเคชัน MTL Fit ตัวช่วยด้านดูแลสุขภาพที่จะทำให้คุณได้รู้จักสุขภาพของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับเครือข่ายพันธมิตรภายใน Ecosystem ทั้งเครือข่ายสถานพยาบาล พันธมิตรในตลาด อีคอมเมิร์ซ และพันธมิตรในกลุ่มสตาร์ทอัพ ที่ครอบคลุม ที่จะช่วยทำให้ลูกค้าของเมืองไทยประกันชีวิต ได้รับความสะดวก และเข้าถึงการบริการได้มากยิ่งขึ้น
โดยการสื่อสารกลยุทธ์ครั้งใหม่ของเมืองไทย ยังคงใช้ “เบลล่า ราณี แคมเปน” หนึ่งในลูกค้าตัวจริง มาเป็นตัวแทนถ่ายทอดประสบการณ์ถึงความสำคัญต่อการเลือกซื้อความคุ้มครองสุขภาพ ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “Life Stage” ในคอนเซ็ปต์ทุกช่วงเวลาของชีวิต สุขภาพเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ เพื่อตอกย้ำความสำคัญของธุรกิจ ในฐานะหลักประกันที่ช่วยสร้างความมั่นคงในอนาคตสำหรับทุกชีวิตของลูกค้อย่างแท้จริง และเชื่อว่าการขับเคลื่อนจากผู้นำในธุรกิจด้วย Mindset ใหม่ๆ กับโปรดักต์ในเจนเนอเรชันใหม่จะช่วยทำให้ธุรกิจประกัน โดยเฉพาะกลุ่มประกันสุขภาพสามารถเข้าถึงลูกค้าคนไทยได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงความคุ้มครองได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ตามแนวทางการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนให้ธุรกิจ