ในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day 2022) “เซ็นทรัลทำ” โดยกลุ่มเซ็นทรัล ร่วมกับบริษัทในเครือ และ UNEP โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme) ชวนทุกภาคส่วนปรับพฤติกรรมในแต่ละวันให้ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมรักษาโลกที่มีอยู่เพียงใบเดียว พร้อมขับเคลื่อนโครงการ Love the Earth ผ่าน 3 กลยุทธ์หลักของเซ็นทรัลทำ ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย SDG และแนวทางดำเนินธุรกิจในเครือขององค์กร ประกอบด้วย การลดปริมาณขยะ (Journey to Zero) การเพิ่มพื้นที่สีเขียว (Central Green) และ ฟื้นฟูป่า (Forest Restoration)
คุณพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า กลุ่มเซ็นทรัล จริงจังในการขับเคลื่อนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านโครงการและการดำเนินธุรกิจต่างๆ ของบริษัทในเครือ ได้แก่ เซ็นทรัลรีเทล, เซ็นทรัลพัฒนา และเซ็นทารา เช่น การส่งเสริมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดการสูญเสียทรัพยากรในห่วงโซ่อุปทาน การใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการขยะพลาสติกและอาหาร การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนสังคมในการขับเคลื่อนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม สร้างการตระหนักรู้ด้านการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืน
และเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day 2022) กลุ่มเซ็นทรัล เชิญชวนลูกค้าและทุกภาคส่วนร่วมลงมือทำเพื่อโลกวันนี้ สำหรับพรุ่งนี้และอนาคตที่ดีขึ้นโดยเริ่มจากตัวเองผ่านการปรับการใช้ชีวิตเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันให้รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม กับแคมเปญ Love the Earth (เลิฟ ดิ เอิร์ธ) ภายใต้โครงการเพื่อสังคมหลัก “เซ็นทรัล ทำ” ได้แก่ การลดปริมาณขยะ (Journey to Zero) การเพิ่มพื้นที่สีเขียว (Central Green) และฟื้นฟูป่า (Forest Restoration) สอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs ขององค์กรสหประชาชาติ และการทำธุรกิจของเครือ โดยวางแนวทางปฏิบัติสู่ความยั่งยืน 3 มิติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่แล้ว ทั้งการบริโภค การช้อปปิ้ง และการท่องเที่ยว ที่ส่งผลดีต่อโลกมากขึ้น ผ่าน 3 คอนเซ็ปต์ ได้แก่
1. Better Living ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตสู่วิถีการบริโภคอย่างยั่งยืน เริ่มต้นที่ตนเองด้วยการคัดแยกขยะ การลดการใช้พลังงาน และการเพิ่มพื้นที่สีเขียว อาทิ คัดแยกขยะอย่างถูกวิธี เช่น ขวดพลาสกติก ขวดแก้ว กระป๋อง เพื่อนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล รวมถึงการคัดแยกขยะอาหาร เข้าถังหมักย่อยสลายทำปุ๋ยชีวภาพ เพื่อลดปริมาณขยะ เลือกบริโภคผักผลไม้เกษตรอินทรีย์ ผลผลิตทางการเกษตรที่ปลูกในท้องถิ่น ผักผลไม้ตามฤดูกาล หรือ การสนับสนุนพลังงานไฟฟ้าสะอาดจากโซลาร์เซลล์ หรือเลือกใช้รถยนต์ EV รวมทั้งหันมาปลูกต้นไม้ตามวาระโอกาสสำคัญ เช่น ปลูกต้นไม้ประจำวันเกิด และการมอบต้นไม้เป็นของขวัญให้บุคคลอันเป็นที่รัก รวมทั้งร่วมส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุ์ไม้และพื้นที่สีเขียวผ่านกิจกรรมต่างๆ หรือสนับสนุนสินค้าที่ใช้วัสดุรีไซเคิล สินค้า Upcycling และการใช้ซ้ำ เป็นต้น
2. Better Shopping ช้อปปิ้งแบบรักษ์โลกง่ายๆ ด้วยการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนสินค้าพื้นถิ่น วางแผนการช้อปปิ้งล่วงหน้าและซื้อเท่าที่จำเป็น อาทิ เลือกผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, สนับสนุนสินค้าชุมชน สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น, Say No to Plastic Bags นำถุงผ้ามาใช้ช้อปปิ้ง และใช้ซ้ำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้, รับประทานอาหารแต่พอดี ไม่มีเหลือทิ้ง และเปลี่ยนมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ หรือ Carpool เดินทางเป็นกลุ่มด้วยรถคันเดียวกัน
3. Better Travelling ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแบบฉบับ Green Tourism ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบและลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เช่น สนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชน ส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่น ทั้งแหล่งท่องเที่ยว ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อ, สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เยี่ยมชมเส้นทางธรรมชาติและทำกิจกรรมอนุรักษ์ไปพร้อมกัน เพื่อปกป้องรักษาความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ, สนับสนุนสินค้าและบริการในชุมชน เยี่ยมชมงานหรือนิทรรศการท้องถิ่น และร่วมบอกต่อแหล่งท่องเที่ยวสุดประทับใจ ด้วยการแชร์คอนเทนต์ผ่านสื่อออนไลน์
ขณะที่บริษัทในเครือ ต่างก็มีแนวทางในการดำเนินธุรกิจภายใต้การดูแลโลก ที่สอดคล้องไปกับรูปแบบธุรกิจ กลุ่มเป้าหมาย และระบบนิเวศทางธุรกิจของตัวเอง เช่น
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีการับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรและชุมชนโดยตรง เพื่อจำหน่ายภายในจังหวัด ช่วยลดการสูญเสียและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่ง, จำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าชุมชน สินค้าUpcycling วัสดุจากธรรมชาติ และรีไซเคิล, การสนับสนุนโครงการส่งเสริมสินค้าเกษตรอินทรีย์ (Organic) และสินค้า OTOP ที่มีคุณภาพ ปลอดภัยป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมทั้งรณรงค์แคมเปญ Say No to Plastic Bags งดแจกถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หรือ การนำอาหารส่วนเกินไปบริจาคให้กับชุมชนผู้เปราะบาง และนำขยะอาหารไปหมักย่อยสลายผลิตเป็นปุ๋ยและก๊าซชีวภาพ, การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftops) โดยในปี 2564 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 02 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์ และลดการใช้พลังงานที่มาจากแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลในปริมาณ 51,566 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) เป็นต้น
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ร่วมมือพัฒนานวัตกรรมด้านการจัดการพลังงาน และสิ่งแวดล้อม สู่การยกระดับศูนย์การค้าสู่มาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล หรือ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ และโครงการในอนาคต, การพัฒนาอาคารประหยัดพลังงาน MEA (การไฟฟ้านครหลวง) จำนวน 10 แห่ง , การใช้พลังงานสะอาดและใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้โซลาร์เซลล์ในศูนย์การค้า ปัจจุบัน 17 สาขา ผลิตได้ 16 MW โดยตั้งเป้าจะติดตั้งให้ได้ทุกสาขา ตั้งเป้าผลิตพลังงานสะอาดเทียบเท่ากำลังผลิตพลังโซลาร์เซลล์จากเขื่อนสิรินธร (45 MW per day) รวมทั้งตั้งเป้าเป็นองค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ด้วยแผนระยะยาวตั้งเป็น Net Zero Carbon Emission ผ่านการลดการใช้พลังงาน 50% ลดการใช้ CFC และสารที่ทำลายชั้นบรรยากาศ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดหรือ Clean Energy อีก 50% นอกจากนี้เรายังตั้งเป้าปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งภายในและภายนอกโครงการให้ได้ถึง 1 ล้านต้นโดยเร็วอีกด้วย
ขณะที่ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) เปิดตัว Centara Reserve Samui เปิดตัวในคอนเซ็ปต์ Plastic-Free Resort ลดการใช้พลาสติกแบบ Single-Use, สปาออร์แกนิก โดยเฉพาะ Fresh Garden Therapy ที่ลูกค้าสามารถเลือกส่วนผสมของทรีตเมนต์ได้เองจากสวนสมุนไพรของรีสอร์ต โดยเดินไปเก็บเองจากสวนสมุนไพร พร้อมกับเรียนรู้เรื่องสมุนไพรไทย อีกทั้งสวนสมุนไพรออร์แกนิกนี้ยังเป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับใช้ปรุงในห้องอาหารของรีสอร์ตด้วย, โครงการ Going Greener เชิญชวนลูกค้าใช้ผ้าเช็ดตัวและผ้าปูที่นอนซ้ำ เพื่อลดการใช้น้ำและสารเคมีในการซักและทำความสะอาด รวมถึงโครงการ My Green Day ให้ลูกค้าที่เข้าพักมากกว่า 1 คืน ร่วมโครงการโดยแสดงความประสงค์ไม่ต้องการทำความสะอาดห้องพักเพื่อลดการใช้ทรัพยากรต่างๆ , การคัดแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิล เพื่อลดปริมาณขยะที่ส่งไปหลุมฝังกลบ ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก, โครงการลดการสูญเสียอาหาร (Food Loss) จัดทำครัวกลางในการจัดการวัตถุดิบของทุกห้องอาหาร เพื่อลดการสูญเสียและประหยัดค่าใช้จ่าย, การจัดการอาหารเหลือที่ยังรับประทานได้ (Surplus Food) โดยบริจาคให้กับ SOS Thailand เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ และแบรนด์ในเครือ CRG ได้ทำการส่งมอบอาหารส่วนเกินจากการจำหน่าย เพื่อส่งมอบให้แก่มูลนิธิ และชุมชน ต่างๆ รวมทั้ง การรีไซเคิลขยะอื่นๆ เช่น น้ำมันใช้แล้ว (Used Cooking Oil) นำไปทำไบโอดีเซล, พลาสติกกำพร้านำส่งไปเปลี่ยนเป็นน้ำมันใช้ผลิตเชื้อเพลิง (Advanced Bio-oil)
ด้าน ธันณี ศรีสกุลไชยรัก เจ้าหน้าที่วิชาการ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สำนักภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก กล่าวว่า วันสิ่งแวดล้อมปีนี้บอกเราอีกครั้งว่า ทุกคนอยู่ร่วมกันในโลกใบเดียว ทำให้คิดว่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ด้วยความรู้และเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้มีทางเลือกมากขึ้นในการตัดสินใจที่จะบริโภคและผลิตอย่างไรให้โลกใบนี้คงความอุดมสมบูรณ์ไปนานๆ การสื่อสารเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากที่จะช่วยทำให้ทุกคนทุกฝ่ายตระหนักถึงปัญหา และคิดหาทางออกร่วมกันว่าจะดูแลโลกใบเดียวของเราอย่างไรเพื่อปัจจุบันและอนาคตที่ยั่งยืน