ถือเป็น Big Move คร้ังใหม่ ในรอบเกือบ 10 ปี สำหรับแบรนด์คนไทยอย่าง “เต่าเหยียบโลก” กับการปรับแพกเกจใหม่ ให้มีความทันสมัย และตอบโจทย์พฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่มากขึ้น รวมทั้งยังได้ใจผู้บริโภคกลุ่ม Eco-friendly ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลใส่ใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพราะตอนนี้เต่าเหยียบโลกได้เพิ่มแพกเกจแบบรีฟิลออกมาจำหน่ายแล้ว ซึ่งลดปริมาณการใช้พลาสติกในการผลิตลงได้ถึง 80% พร้อมทั้งเปลี่ยนแพกเกจแบบขวดมาเป็นขวดแบบปั๊มลายนูน ที่สามารถเติมแป้งได้ เหมาะสำหรับการนำแพกเกจกลับไปใช้ซ้ำแทนการทิ้งให้กลายเป็นขยะ
แพกเกจใหม่ ตอบโจทย์ “ใช้ซ้ำ”
คุณวิศรุต จันทิพย์วงษ์ ผู้จัดการฝ่ายวางแผนและพัฒนากลยุทธ์ บริษัท ไทย เฮิร์บ เอนเตอร์ไพรซ์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ “เต่าเหยียบโลก” ให้ข้อมูลว่า บริษัทได้ผลิตขวดบรรจุแป้งผงระงับกลิ่นกายเต่าเหยียบโลกในเวอร์ชันใหม่ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเติมผงแป้งใหม่เองได้ ช่วยลดปริมาณการใช้พลาสติกในการผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่ให้น้อยลง ประกอบกับได้ออกแพกเกจบรรจุแบบรีฟิล สำหรับนำไปเติมลงในขวดเดิมที่หมดแล้ว ซึ่งหากเปรียบเทียบปริมาณพลาสติกที่ใช้ในการผลิตแล้ว บรรจุภัณฑ์แบบซองรีฟิลใช้ปริมาณพลาสติกน้อยลงกว่าเดิมถึง 80% เลยทีเดียว
โดยการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ของเต่าเหยียบโลกในครั้งนี้ เพื่อให้มีความทันสมัยมากขึ้น ทั้งโลโก้ ฉลาก และตัวบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มความสดใสและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้น แต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ลูกค้าสามารถจดจำแบรนด์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะตัวขวดบรรจุแป้งที่เปลี่ยนมาใช้ขวดแบบปั๊มลายนูน และใช้สีตามสูตรที่บรรจุ ประกอบด้วยสีเหลือง สำหรับสูตรออริจินัล กลิ่นเมนทอล สีชมพู สำหรับสูตรไวท์เทนนิ่ง กลิ่นซากุระ และสีม่วง สำหรับสูตรนูริชชิ่ง กลิ่นลาเวนเดอร์ จากเดิมที่จะใช้ขวดสีขาวขุ่นเหมือนกันและแยกแต่ละสูตรด้วยฉลากที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้ ยังได้มีการออกแบบฝาปิดเป็นแบบใหม่ ให้เป็นฝาแบบเปิด- ปิดได้ และติดเป็นชิ้นเดียวกับตัวขวด แทนแบบเดิมที่เป็นฝาแบบหมุนและแยกเป็นคนละชิ้นกับขวด นอกจากช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากขึ้นแล้ว ยังลดโอกาสที่ผู้ใช้งานอาจจะทำฝาหาย เพราะแพกเกจแบบเดิมอาจจะมีบางครั้งที่ผู้ใช้งานใช้แล้วไม่ได้ปิดฝากลับเข้าไปเหมือนเดิม จนทำให้มีการร่วงหล่นสูญหาย แล้วกลายเป็นการสร้างเศษขยะพลาสติกจากฝาไปสู่สิ่งแวดล้อมได้ เป็นหนึ่งในต้นเหตุของการเกิดปัญหาเรื่องโลกร้อนที่ทั่วทั้งโลกกำลังให้ความสำคัญ
“สำหรับขวดแบบใหม่จะมีสีสันที่สดใสขึ้น พร้อมทั้งปั๊มลวดลายนูนลงบนขวด ทำให้ขวดยังมีความสวยงามน่าใช้อยู่เสมอ แม้ว่าฉลากจะหลุดลอกออกไปแล้วก็ตาม ตอบโจทย์การนำกลับไปใช้ซ้ำได้ เพราะสามารถหมุนส่วนบนของขวดออกเพื่อเติมแป้งเข้าไปใหม่ได้หลังจากใช้หมดแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อโลกอย่างมาก เนื่องจากลูกค้าเต่าเหยียบโลกส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำ และมีการใช้สินค้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น หากเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าสามารถหันมาซื้อสินค้าแบบรีฟิลได้แทนการซื้อแบบขวดเพียงอย่างเดียวเหมือนก่อนหน้านี้ ก็จะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังประหยัดขึ้นด้วย ซึ่งคาดว่าลูกค้าจะให้การตอบรับผลิตภัณฑ์ในรูปแบบรีฟิลเป็นอย่างดีเช่นกัน โดยเบื้องต้นได้ผลิตซองรีฟิลออกมาทำตลาด 2 สูตร คือ สูตรออริจินัล และไวท์เทนนิ่ง ขนาดบรรจุ 18 กรัม ราคา 30 บาท ขณะที่แบบขวดมีปริมาณ 22 กรัม จำหน่ายราคา 40 บาท พร้อมนำร่องการขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ประกอบด้วย ช่องทางออฟฟิเชียลแฟนเพจ และออฟฟิเชียลสโตร์ของเต่าเหยียบโลกบนแพลตฟอร์มช้อปปี้ ซึ่งผลตอบรับจากลูกค้าถือว่าเป็นที่น่าพึงพอใจ”
ย้ำภาพ Eco Friendly พร้อมปรับพอร์ตโฟลิโอใหม่
คุณวิศรุต ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในปีนี้เต่าเหยียบโลกมีแผนที่จะกลับมาสื่อสารการทำตลาดอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำตัวตนของแบรนด์ให้แข็งแรงและสร้างการรับรู้ไปสู่วงกว้างได้ดีขึ้น พร้อมทั้งออกโฆษณาตัวใหม่เพื่อตอกย้ำถึงการเป็นแบรนด์ที่มาจากธรรมชาติ ผ่านแนวคิด “นวัตกรรมจากธรรมชาติเพื่อทุกคน” โดยเฉพาะการปรับแพกเกจให้มีความรักษ์โลก หรือ Eco-friendly มากขึ้น ก็เป็นอีกหนึ่งมิติที่สะท้อนถึงการให้ความใส่ใจกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน รวมทั้งยังมีความเข้าใจอินไซต์ผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่ชื่นชอบความเป็นธรรมชาติ และให้ความสำคัญกับการดูแลและใส่ใจเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยไม่ลืมย้ำ Key Message ถึงความโดดเด่นในเชิงฟังก์ชันนัล เรื่องของการระงับกลิ่นกายที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งและจุดขายของแบรนด์มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง
นอกจากนี้ ยังเตรียม ปรับพอร์ตโฟลิโอสินค้าที่มีอยู่ในเครือทั้งหมด ให้มาอยู่ภายใต้แบรนด์ “เต่าเหยียบโลก” เพื่อสร้างความชัดเจนและความเป็นหนึ่งเดียวกัน หลังจากการปรับตัวและรีแบรนด์ครั้งใหญ่เมื่อปี 2557 โดยได้มีการขยายไลน์อัพสินค้าให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วยการเพิ่มแบรนด์ “เต่าเหยียบโลก นิวเจน” ออกมาทำตลาด ซึ่งได้รับความสนใจจากตลาดและผู้บริโภค แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะยังมีลูกค้าบางกลุ่มที่มีความสับสนว่าใช่สินค้าแบรนด์เดียวกันหรือไม่
ทำให้หลังจากนี้ สินค้าภายในเครือทั้งหมดจะทำตลาดภายใต้แบรนด์ “เต่าเหยียบโลก” ทั้งสินค้าเดิมของเต่าเหยียบโลกที่ทำตลาดมาก่อนหน้านี้ ได้แก่ แป้งผงระงับกลิ่นกาย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมของเต่าเหยียบโลก ปัจจุบันมี 3 สูตร ผงแป้งระงับกลิ่นเท้า ปัจจุบันมี 2 สูตร และสินค้าเต่าเหยียบโลก นิวเจน ประกอบด้วย สเปรย์สารส้ม โรลออน และครีมบำรุงรักแร้ ที่จะรีแบรนด์มาเป็นเต่าเหยียบโลกเช่นเดียวกัน รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะออกมาทำตลาดเพิ่มเติมในอนาคตนับจากนี้ โดยในปีนี้ บริษัทออกผลิตภัณฑ์มาทำตลาดเพิ่มเติมคือ สบู่ก้อนเต่าเหยียบโลก 3 สูตรใหม่ มะนาว เมนทอล และน้ำผึ้งดินสอพอง รวมท้ังการออกผลิตภัณฑ์แป้งผงระงับกลิ่นกาย ในรูปแบบซองรีฟิล ซึ่งในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้เริ่มนำร่องชายผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัทเป็นหลักก่อนในเบื้องต้น
การขยับตัวของเต่าเหยียบโลกในครั้งนี้ ต้องถือเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่สำคัญของแบรนด์ นับจากผู้ก่อตั้งอย่าง คุณสมชาย จันทิพย์วงษ์ เริ่มส่งไม้ต่อให้รุ่นลูกเข้ามามีบทบาทในการบริหารและวางกลยุทธ์ โดยให้ความสำคัญกับการสื่อสารทางการตลาดมากขึ้น มีการออกไลน์อัพสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ รวมทั้งอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อสามารถเจาะช่องทางขายระดับแม่เหล็ก ด้วยการนำสินค้าวางขายผ่านเซเว่นอีเลฟเว่นได้สำเร็จ ทำให้สินค้าแบรนด์เต่าเหยียบโลกเริ่มเข้าถึงตลาดกลุ่มแมสได้มากขึ้นในปี 2557 หลังจากรุ่นลูกๆ เข้ามาช่วยบริหารได้ราวหนึ่งปี
ขณะที่จุดเริ่มต้นของแบรนด์นั้น ทำตลาดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 25 ปี นับจากผู้ก่อตั้งเริ่มบุกเบิกตลาดด้วยการนำสูตรผงแป้งจากสารส้มผสมสมุนไพรเพื่อใช้ระงับกลิ่นกาย มาเริ่มวางขายผ่านช่องทางร้านเสริมสวยต่างๆ ในราคาที่ทุกคนสามารถซื้อได้ พร้อมจุดขายแบบท้าพิสูจน์ว่าสามารถเห็นผลได้ภายใน 1 วัน เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ามีความรู้สึกอยากทดลอง และเมื่อเห็นผลจริงก็ริ่มมีการพูดกันปากต่อปาก ทำให้สินค้าได้รับการตอบรับมากขึ้น โดยเฉพาะในโลกโซเชียลที่มีผู้สนใจนำไปรีวิวจนกลายเป็นไวรัล ทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการและมีคนอยากทดลองใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งรุ่นลูกเข้ามารับช่วงบริหารต่อ และเน้นความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพิ่มกำลังผลิตเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการทำตลาดและสื่อสารแบรนด์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีต่อแบรนด์ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการเพิ่มช่องทางขายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อให้สามารถนำสินค้าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางขายที่มีความสำคัญในช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา และยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าในยุค Post COVID อีกด้วย