นับเป็นความมุ่งมั่นของเชนฟาสต์ฟู้ดอย่าง Burger King ที่วางเป้าหมายต้องการเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (Single-use Plastic) ในการดำเนินธุรกิจ ภายในปี 2025 จึงได้ประกาศความร่วมมือกับ Loop บริษัทชั้นนำที่ให้บริการด้านการรียูสบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร พร้อมระบบรับคืนบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วนำกลับมาบรรจุใหม่ โดยเริ่มนำร่องการนำบรรจุภัณฑ์รียูสมาใช้ในร้าน Burger King บางสาขา ในสหราชอาณาจักรแล้ว
ทั้งนี้ ลูกค้าในอังกฤษที่ซื้อสินค้า Burger King จะต้องจ่ายค่ามัดจำบรรจุภัณฑ์ 1.26 เหรียญสหรัฐ สำหรับการซื้อเมนูในร้านทั้งอาหาร เครื่องดื่มและกาแฟ ที่ได้เปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ชนิดรียูสแทนการใช้แพ็กเกจจิ้งแบบพลาสติกที่ใช้แล้วทิ้ง โดยจะเริ่มนำร่องในร้าน Burger King 5 แห่ง เช่น ใน Ipswich และ Suffolk ภายในระยะเวลา 5 เดือน
โดยลูกค้าที่ใช้บริการสามารถนำบรรจุภัณฑ์ของอาหารและเครื่องดื่มกลับมาคืนในระบบ ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการสแกนบาร์โค้ดที่ปรากฏอยู่บนแพ็กเกจจิ้งผ่านแอปพลิเคชัน Loop แล้วนำไปทิ้งลงในถังขยะของ Loop ที่มีอยู่ตามร้าน Burger King ที่ร่วมรายการ หรือ สามารถตรวจสอบที่ตั้งของร้านได้ง่ายๆ บนแอปพลิเคชัน หลังจากนั้น ลูกค้าก็จะได้เงินมัดจำคืนผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าว โดยแพ็กเกจจิ้งที่ได้คืนทั้งหมดจะถูกนำไปทำความสะอาดด้วยระบบทำความสะอาดที่ล้ำสมัยตามขั้นตอน เพื่อนำกลับมาใช้ในการบรรจุอาหารใหม่อีกครั้ง
ด้าน Tom Szaky ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง TerraCycle & Loop กล่าวว่า “ลูกค้ามีความต้องการทางเลือกเพื่อสร้างความยั่งยืนได้ และมีจำนวนเพิ่มมากขี้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลการตอบรับของลูกค้าที่มีต่อโครงการนี้ จะถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลเพื่อปรับแผนการทำงานในระยะยาว สำหรับการพัฒนาระบบการทำงาน หรือความร่วมมือต่อโครงการบรรจุภัณฑ์แบบรียูส ได้อย่างมีประสิทธิภาพให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต”
สำหรับ Loop นั้น ถือเป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและพัฒนาระบบกาบริหาร Ecosystem ให้กับกลุ่มบรรจุภัณฑ์รียูส โดยก่อนหน้านี้ได้จับมือร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง เช่น Tesco, Coca-Cola และ Kraft โดยการจับมือกับ Burger King ในสหราชอาณาจักรครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดความร่วมมือที่ได้ทำกับ Burger King ในนิวเจอร์ซี่ ที่เริ่มแผนนี้ไปแล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม Burger King ย้ำให้เห็นว่า กิจกรรมดังกล่าวจะช่วยให้แบรนด์บรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 41% ภายในปี 2030 นั่นเอง
