ปูนซิเมนต์ไทย(ทุ่งสง) ร่วมมือกับก.อุตสาหกรรม และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ขับเคลื่อนนโยบายการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรม นำร่องใช้รถบรรทุกหินปูนขนาด 60 ตัน ชนิดไฟฟ้า เป็นแห่งแรกในประเทศไทย ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษปลอดฝุ่น PM 2.5 เพื่อพัฒนาศักยภาพและยกระดับการก่อสร้างไทย สู่ Green Construction สอดคล้องกับแนวทางอุตสาหกรรมเหมืองแร่สีเขียว
กอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายชนะ ภูมี Vice President – Cement and Green Solution Business ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี และ วิเชษฐ์ ชูเชื้อ Managing Director – South Chain ร่วมพิธีเปิดตัวรถบรรทุกหินปูนขนาด 60 ตันชนิดไฟฟ้า (EV Mining Truck) แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นการร่วมมือของภาครัฐและองค์กรธุรกิจภาคเอกชน ในโครงการการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าที่รัฐบาลสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในภาคเอกชนกระตุ้นให้เกิดการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น
ซึ่งจะช่วยลดการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM 2.5) และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจก (GHG) ที่เกิดจากการสันดาปภายในของเครื่องยนต์ทั่วไป โดยในปีนี้บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ทุ่งสง) จำกัด นำรถบรรทุกหินปูนขนาด 60 ตัน ชนิดไฟฟ้า (EV Mining Truck) จำนวน 4 คัน นำร่องส่งมอบหินปูนด้วยพลังงานสะอาด และคาดว่าจะเปลี่ยนรถบรรทุกหินปูนเป็นชนิดไฟฟ้าได้ 100% ภายในปี พ.ศ. 2568 สามารถลด CO2 ได้รวม 1,148 ตัน CO2/ปี
โดยกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “กระทรวงฯ ขานรับนโยบายภาครัฐเพื่อบรรลุเป้าหมายของ COP26 ที่จะเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 โดยการกำหนดนโยบายเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมให้ภาครัฐ และเอกชนบูรณาการร่วมกันในการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า และผลักดันให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมการลงทุนและสนับสนุนผู้ประกอบการ รวมถึงเร่งผลักดันสิทธิประโยชน์และมาตรการรองรับด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมส่งเสริมและบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าภายในประเทศ ตามแนวนโยบาย BCG Model ของกระทรวงฯ ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลพิษฝุ่นละออง PM 2.5 ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ”
ด้านนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กล่าวว่า
“กพร.มีนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีมาตรฐานที่ดี ยกระดับมาตรฐานสถานประกอบการให้มีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน ซึ่งถือเป็นการพัฒนาและยกระดับการประกอบอุตสาหกรรมแร่ของประเทศ สอดคล้องตามนโยบายการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างมาตรฐานเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining) ซึ่งโครงการการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า EV Mining Truck เป็นประโยชน์ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และฝุ่นละออง PM 2.5”
ส่วนชนะ ภูมี Vice President – Cement and Green Solution Business ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี พร้อมสนับสนุนนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งการส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าและลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ตามความมุ่งหวังของเอสซีจีที่จะยกระดับการก่อสร้างไทย สู่ Green Construction เพื่อให้การก่อสร้างของประเทศเกิดการพัฒนา พร้อมสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของเอสซีจีที่ยึดหลัก ESG 4 Plus ได้แก่ 1. มุ่ง Net Zero ปี 2050 2. Go Green 3. Lean เหลื่อมล้ำ 4.ย้ำร่วมมือ ภายใต้ความเป็นธรรม โปร่งใสในทุกการดำเนินงาน โดยคำนึงถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม ดูแลสังคม และมีบรรษัทภิบาล รวมถึงธุรกิจ Cement and Green Solution
และยังมุ่งพัฒนาการดำเนินงานในระดับมาตรฐานสากลผ่านการนำเทคโนโลยีมาใช้และสร้างความร่วมมือต่างๆ กับองค์กรชั้นนำระดับโลก ในงานนี้เอสซีจีเดินหน้าร่วมเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวด้วยการทำเหมืองตามแนวทาง Green Mining นำร่องเปิดตัวการใช้งาน รถบรรทุกงานเหมืองแร่ ชนิดไฟฟ้า (EV Mining Truck) ขนาดบรรทุก 60 ตัน จำนวน 4 คัน เพื่อส่งมอบหินปูน ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตปูนซีเมนต์ ด้วยพลังงานสะอาด สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) ได้ถึง 71.78 ตัน CO2/ปี/คัน หรือทดแทนการปลูกต้นไม้ได้ 7,555 ต้น/ปี”
นอกจากนี้เอสซีจีมุ่งหน้าดำเนินการเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งกระบวนการผลิต โดยตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนรถบรรทุกหินปูนให้เป็นชนิดไฟฟ้า 100% ซึ่งคาดว่า บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ทุ่งสง) จำกัด จะเปลี่ยนได้ครบภายในปีพ.ศ. 2568 และจะขยายผลไปยังโรงงานปูนซีเมนต์อื่นๆ ในธุรกิจ Cement and Green Solution Business ต่อไป รวม CO2 ที่จะลดได้ทั้งหมดเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นประมาณ 9,852 ตัน CO2/ปี