DialogueTop Stories

TRA ฉายเทรนด์ค้าปลีก 2568​​ ตลาดยังขับเคลื่อนด้วย ‘ดิจิทัล’ และ ‘ความยั่งยืน’ ชูกลยุทธ์ 3S เผชิญปัจจัยเสี่ยง

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย (TRA) แนะ​กลยุทธ์ 3S : Shield (ตั้งรับ) Strike (รุกกลับ) Shape (ปรับตัว) พร้อมเสนอ 2 มาตรการเชิงรุกเพิ่มกำลังซื้อในตลาด รวมทั้ง​ส่งเสริมประเทศไทยสู่ 'Shopping Paradise' 

ธุรกิจค้าปลีกไทยครึ่งปีหลัง 2568 ยังเผชิญปัจจัยรอบด้านทั้งภายในและภายนอกประเทศภายใต้โลกการค้าใหม่ ส่งผลตลาดโต 4% ลดลงจาก 5.9% ในปีที่ผ่านมา ​ขณะที่คาด GDP โต 1.14%

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย (TRA) แนะ​กลยุทธ์ 3S : Shield (ตั้งรับ) Strike (รุกกลับ) Shape (ปรับตัว)  พร้อมเสนอ 2 มาตรการเชิงรุกเพิ่มกำลังซื้อในตลาด รวมทั้ง​ส่งเสริมประเทศไทยสู่  ‘Shopping Paradise’  ผ่านนโยบาย Instant Tax Refund คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ทันที ณ ร้านค้า และการทำแซนด์บ็อก (Free Tax Zone) ในพื้นที่ภูเก็ต คาดหากขับเคลื่อนได้จริงจะช่วยดึงเม็ดเงินเข้าระบบได้หลายหมื่น จนถึงหลักแสนล้านบาท

คุณณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ​สถานการณ์ค้าปลีกไทยเต็มไปด้วยความท้าทายจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกที่ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนภาพการบริโภคที่ชะลอตัว ภาคท่องเที่ยวเติบโตลดลง และภาคส่งออกที่กำลังเผชิญกับกำแพงภาษี  ผู้ประกอบการค้าปลีกไทยไม่เพียงแค่  ‘อยู่รอด’ แต่ต้อง ‘ยืนหยัด’ และ ‘ก้าวนำ’ ท่ามกลางพายุเศรษฐกิจ การตั้งรับ รุกกลับ และปรับตัวให้ทันอนาคต คือกุญแจสู่การฝ่าวิกฤติ ขณะเดียวกันภาครัฐต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เหมาะสม​

ทั้งนี้ คาดการณ์ตลาดค้าปลีกในปีนี้จะเติบโตได้ลดลง โดยโตเฉลี่ย​ราว 4%  (1.36 แสนล้านบาท) เทียบกับปีที่ผ่านมา​ซึ่งเติบโต 5.9%  จากผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กำแพงภาษีสหรัฐ กำลังซื้อผู้บริโภคที่ฟื้นตัวช้า รวมถึงการแข่งขันรุนแรงกับแพลตฟอร์มค้าปลีกต่างชาติอย่าง E-Commerce เป็นต้น ทำให้ในธุรกิจค้าปลีกในครึ่งปีหลังต้องเผชิญทั้งการส่งออกที่ชะลอตัว กำลังซื้อถดถอย และสินค้าคุณภาพต่ำไหลเข้ามาในตลาดจำนวนมาก และเติบโตได้ลดลงในทิศทางเดียวกับการเติบโตของ GDP  ที่คาดการณ์จะโตได้เพียง  1-1.4% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.7-3%

สมาคมฯ มีมาตรการเพื่อเสนอรัฐบาลในการช่วยกระตุ้นภาพรวมธุรกิจค้าปลีก และเพิ่มกำลังซื้อเข้าสู่ระบบในภาพรวม รวมทั้งยังเป็นการ​ส่งเสริมให้ไทยเป็น Shopping Paradise ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ผ่านการผลักดัน 2 มาตรการสำคัญ ​ ได้แก่ นโยบาย Instant Tax Refund คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ทันที ณ ร้านค้า ให้กับนักท่องเที่ยวที่มี ยอดซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาทขึ้นไป และ แซนด์บ็อกเขตปลอดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์ (Free Tax Zone) ในจังหวัดภูเก็ต โดยเชื่อว่าจะช่วย​กระตุ้นเศรษฐกิจไทย และเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันท่ามกลางสงครามการค้าโลก พร้อมปกป้องผู้ประกอบการไทยและผู้บริโภคจากการไหลทะลักของสินค้านำเข้าต่างประเทศราคาถูก โดยคาดว่าหากสามารถขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิบัติได้จริงจะช่วยเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่​ระบบได้ตั้งแต่หลักหมื่น ไปจนถึงหลักแสนล้านบาท”​​

สถานการณ์ค้าปลีกครึ่งปีหลัง 2568 

ตลาดค้าปลีก ยังคงเป็นหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทย ทั้งในภาคการผลิต การบริโภค โดยเฉพาะเป็นภาคส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการจ้างงาน ​โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา มี​​มูลค่าธุรกิจราว 4 ล้านล้านบาท  ​คิดเป็นอันดับ  2 หรือมีสัดส่วน 16% ของมูลค่าเศรษฐกิจโดยรวมทั้งประเทศ 

“​ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะ SMEs ที่มีมากกว่า 3 ล้านราย ต้องเผชิญความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะ สินค้านำเข้าราคาถูกและด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ ​จากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ  ประกอบกับ  ต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น จากการปรับขึ้นค่าแรง ต้นทุนโลจิสติกส์ ค่าพลังงานและสาธารณูปโภค ขณะที่กำลังซื้อและความเชื่อมั่นในตลาดยังมีความกังวล โดยเฉพาะในธุรกิจท่องเที่ยวที่​จำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาน้อยลง โดยเฉพาะจากตลาดสำคัญอย่างจีน ทำให้ต้องหาตลาดทดแทน เช่น นักท่องเที่ยวระยะไกล (Long Haul) หรือยุโรปมากขึ้น​” 

เทรนด์ค้าปลีก 2568 ​ปรับตัวสู่ดิจิทัลและความยั่งยืน

สำหรับเทรนด์สำคัญในธุรกิจ​ค้าปลีก เรืองของ เทคโนโลยีดิจิทัล และความยั่งยืน ยังคงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโต โดยมี 3 เทรนด์สำคัญ คือ

1. Convergence Commerce as the New Standard สร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อระหว่างช่องทาง Offline และ Online รวมถึงการผสานร้านค้ารายใหญ่และรายย่อยให้เป็นระบบนิเวศ (Ecosystem) เดียวกัน เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ

2. AI Personalization Engine นำเสนอสินค้า โปรโมชั่น และประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า แต่ละรายอย่างเฉพาะบุคคล (Personalization) ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อบริหารจัดการสต็อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มยอดขาย ลดปริมาณสินค้าคงคลังที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า

3. Sustainable Retail :  หลายพื้นที่โดยเฉพาะในยุโรป  รวมทั้งผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสนใจแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม, ใช้บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน

 

รอดด้วย ​​3S (Shield Strike Shape) “ตั้งรับ รุกกลับ ปรับตัว”

สมาคมฯ แนะผู้ค้าปลีกปรับตัวเพื่อรอด ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน รวมทั้งในภาวะที่ความเชื่อมั่น และกำลังซื้อหดตัว ผ่านกลยุทธ์ 3S  (Shield Strike Shape)  ประกอบด้วย 

1. ตั้งรับ (Shield)   

1.1 ป้องกันสินค้าราคาถูกและด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ

– การตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% แทนการสุ่มตรวจ ด้วยระบบเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำ

– ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่วางจำหน่ายในประเทศอย่างเข้มงวด เช่น การมีมาตรฐาน มอก. และฉลากต้องเป็น
ภาษาไทย

1.2 ปราบปรามธุรกิจนอมินี
– จำเป็นต้องเร่งหามาตรการเชิงรุกในการจัดการธุรกิจนอมินี (Nominee) ที่สวมสิทธิ์คนไทยในทุกระดับ ตั้งแต่รายย่อยถึง
รายใหญ่ ครอบคลุมธุรกิจในหลายรูปแบบ เช่น ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงแรมศูนย์เหรียญ เพื่อยับยั้งการ
รั่วไหลของเม็ดเงิน และผลักดันให้รายได้จากภาคค้าปลีกหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทย
– ป้องกันการสวมสิทธิ์ผลิตสินค้าที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกไปสหรัฐ (Re-Export) ส่งผลให้ไทยเกินดุลสหรัฐ

2. รุกกลับ (Strike)

2.1 ค้าเสรีและเป็นธรรม

จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT 7% กับสินค้าออนไลน์นำเข้าที่มีมูลค่าตั้งแต่บาทแรก (จากเดิมสินค้าไม่เกิน 1,500 บาท  ได้รับการยกเว้นภาษี) โดยออกเป็นกฏหมายบังคับใช้เป็นการถาวร

– ปรับปรุงกฏหมายที่มีข้อจำกัดและไม่ครอบคลุมของ “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” หรือการซื้อขายสินค้าออนไลน์ โดยเฉพาะสินค้าไม่ได้มาตรฐานราคาถูกที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มข้ามชาติ เพื่อปกป้องผู้บริโภคคนไทย เช่น จัดให้มีระบบเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติ (API) กับหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

– ออกมาตรการรับมือกับสถานการณ์สินค้าจากจีนที่ทะลักเข้าสู่ตลาดไทย อันเนื่องมาจากปัญหาการผลิตสินค้าเกินความ
ต้องการภายในประเทศจีน (Oversupply) ซึ่งจีนจำเป็นต้องระบายสินค้าสู่ต่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อ
ผู้ประกอบการไทยจนถึงขั้นต้องปิดกิจการหรือมีการเลิกจ้างแรงงาน

2.2  ช้อปปิ้งยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (Instant Tax Refund)

– เสนอการนำร่องมาตรการ Instant Tax Refund คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กับนักท่องเที่ยวที่มียอดซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาทขึ้นไป ต่อ 1 วันในร้านค้าเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับประเทศจีนที่ได้ประกาศใช้นโยบาย Instant Tax Refund 500 หยวน (ประมาณ 2,500 บาท) นำร่องที่เมืองท่องเที่ยวอย่างเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว

2.3  เขตปลอดภาษีสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์ (Shopping Paradise Sandbox)

– พิจารณาการลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะในกลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง น้ำหอม โดยอาจเริ่มที่สินค้าอเมริกาก่อน โดยนำร่องทำแซนด์บ็อกซ์เป็นเขตปลอดภาษี (Free Trade Zone) ในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวและเพิ่มศักยภาพให้ไทยเป็น Shopping Paradise ของภูมิภาค

– การลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์จากสหรัฐฯ เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าไทย–สหรัฐฯ และสร้างความหลากหลายให้แก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าไลฟ์สไตล์คุณภาพจากต่างประเทศ

3. ปรับตัว (Shape)
3.1 การลดทอนกฏระเบียบที่ล้าสมัยและซับซ้อน (Regulatory Guillotine)
– ผลักดันมาตรการ Regulatory Guillotine เพื่อลดกฎระเบียบที่ล้าสมัยและซับซ้อน เช่น การปรับลดจำนวนและ
ขั้นตอนการขอใบอนุญาตหลายใบให้อยู่ในใบเดียว (Super License) และผ่านระบบกลาง (Biz Portal) ครอบคลุม
ทั่วประเทศ เช่น ใบอนุญาตเปิดศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร และใบอนุญาตก่อสร้าง

3.2 การสนับสนุนเอสเอ็มอีไทย (Championing Thai SME)
     – รัฐสนับสนุนเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษี โดยจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูและพัฒนานวัตกรรม
สินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ พร้อมผลักดันให้ได้รับการรับรอง ‘Made in Thailand’ จาก
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและขยายโอกาสในการส่งออก
– ส่งเสริมการมอบสัญลักษณ์ Thai SELECT จากกระทรวงพาณิชย์ เพื่อการันตีคุณภาพอาหารไทยซึ่งเป็นหนึ่งใน
ซอฟต์เพาเวอร์ทั้งในและต่างประเทศ

3.3 การมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษี

– มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่าน BOI เพื่อจูงใจนักลงทุนไทยให้ลงทุนในเมืองน่าเที่ยวศักยภาพสูง เพื่อกระจายความเจริญ ลดความเหลื่อมล้ำ

วางนโยบาย TRA GREAT ขับเคลื่อนอนาคตค้าปลีกไทย

สมาคมฯ เดินหน้านโยบายสำคัญภายใต้กรอบ ‘TRA GREAT’ ซึ่งเป็นแนวทางพัฒนาภาคค้าปลีกไทยอย่างเป็นระบบในระยะกลางถึงยาว ประกอบด้วย 5 แกนสำคัญ ดังนี้

G – Global Hub of Lifestyle  : ยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยว และขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าไทย ผ่านความ​ร่วมมือกับกรมการพัฒนาชุมชนกับสมาชิกของสมาคมผู้ค้าปลีกไทยในโครงการ “พลิกโฉม OTOP ไทยสู่โลกออนไลน์ และ Modern Trade”

R – Reinforce Retailer Competitiveness : สร้างช่องทางจัดจำหน่ายให้ SMEs และสินค้าประจำจังหวัดในศูนย์การค้า และสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน (Soft Loan)  , ​ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ หอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดกิจกรรม ตลาดนัด SME สัญจร โดยซีพี แอ็กซ์ตร้า แคมเปญ “โชห่วย Go Plus” จำหน่ายสินค้าจากร้านค้าปลีกขนาดเล็ก ณ โก โฮลเซลล์ ทุกสาขา  ,  ร่วมกับกรมการค้าภายในจัดจำหน่ายผลไม้สดในพื้นที่ของสมาชิกสมาคมฯ เช่น เดอะมอลล์ พารากอน ศูนย์การค้า  เซ็นทรัล เป็นต้น รวมทั้งการสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนของธนาคารพาณิชย์ โดย โก โฮลเซลล์  เป็นต้น

E – Elevate Human Capital :  พัฒนาทักษะแรงงานค้าปลีก (Upskill, Reskill) พร้อมใช้มาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพกำหนดค่าจ้างแทนค่าแรงขั้นต่ำ

A – Accelerate Action on Environment and Sustainability : ส่งเสริมธุรกิจค้าปลีกสีเขียว  โดยมีการขับเคลื่อนโครงการฮักโลก Hug The Earth จัดโซนสินค้าฉลากรักษ์โลกในร้านค้าของสมาชิก​ฯ ,  ลงนามความร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ส่งเสริมการแปรรูปน้ำมันใช้แล้วเป็นพลังงานเชื้อเพลิงอากาศยาน ​, การใช้รถ EV ขนส่งสินค้า , การใช้โซลาร์ รูฟ ในร้านค้าของสมาชิกฯ

T – Technology Adoption : สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสู่การเป็น Smart Retail เช่น การนำ AR/VR มาใช้ในร้านค้าเพื่อเพิ่มประสบการณ์ช้อปปิ้ง เป็นต้น

“ที่ผ่านมา (สิงหาคม 2567 – ปัจจุบัน) ทางสมาคมฯ ​มีการขับเคลื่อนหลายโครงการที่โดดเด่น เพื่อส่งเสริมและยกระดับผู้ประกอบการทุกกลุ่ม เพื่อขับเคลื่อนอีโคซิสเต็มของธุรกิจค้าปลีกให้แข็งแรงและเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน เช่น​ ​​ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ เป็นศูนย์กลางลงทะเบียนร้านค้าเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครอบคลุม 400 บริษัท กว่า 2 แสนแห่งทั่วประเทศ ​ทั้ง​ภาคค้าปลีก ค้าส่ง ร้านค้าในศูนย์การค้า ศูนย์อาหาร ร้านอาหาร ​เป็นต้น, การ​เป็นกระบอกเสียง และขับเคลื่อนการหารือคณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายทำให้ได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าราคาถูกและการสวมสิทธิ์นอมินี , ​การสนับสนุนเอสเอ็มอี และวิสาหกิจรายย่อย (Micro SME) ในการให้พื้นที่ในการจำหน่ายสินค้า, นำเสนอมาตรการ Easy E-Receipt ให้กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อช่วยปลุกมู้ดการจับจ่ายใช้สอยได้เป็นอย่างดี ” ​