Top StoriesTrending

SC Asset ผนึกพันธมิตร ขับเคลื่อน ‘SCero Together’ เร่งเปลี่ยนผ่าน ‘อสังหาฯ สีเขียว’วางกลยุทธ์ 3 green ปักธงลดก๊าซเรือนกระจก 1 แสนตัน ใน 5 ปี

การจัดงาน ‘SCero Together : เปลี่ยนอนาคตอสังหาฯ สู่ความยั่งยืน’ ​เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน พร้อม​ยกระดับการขับเคลื่อนธุรกิจ Low Carbon ระหว่าง SC Asset และพันธมิตรกว่า 100 ราย ครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่ธุรกิจ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนสู่อสังหาริมทรัพย์สีเขียวอย่างแท้จริง

ภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง มีสัดส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) มากที่สุดถึง 40% จากปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นหนึ่งภาคส่วนที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาโลกร้อนและสิ่งแวดล้อม​อย่างมีนัยสำคัญ

SC Asset ในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทย จึงมีความตระหนักและมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อลดผลกระทบต่อโลก ​​สร้างการเติบโตควบคู่ไปกับการดูแลผู้คนและสังคม นำมาสู่การประกาศภารกิจ SCero Mission เพื่อมีส่วนร่วมในการสร้างอีโคซิสเต็มของ ‘อสังหาฯ สีเขียว ได้อย่างแท้จริง โดยตั้งเป้าหมายลด GHG จากการดำเนินธุรกิจขององค์กร และขยายผลสู่ระดับภาคอุตสาหกรรมโดยรวม

พร้อมทั้งการจัดงาน ‘SCero Together : เปลี่ยนอนาคตอสังหาฯ สู่ความยั่งยืน เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน ​ยกระดับการขับเคลื่อนธุรกิจ Low Carbon ระหว่าง SC Asset และพันธมิตรกว่า 100 ราย ครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่ธุรกิจตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง การผลิตวัสดุอุปกรณ์​ ทั้งในส่วนของโครงสร้าง วัสดุตกแต่ง ไปจนถึงผู้สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างสถาบันการเงิน

โดยมีเป้าหมายร่วมกันลดคาร์บอนฟุตพรินท์จากการดำเนินธุรกิจ 1 แสนตันคาร์บอน ภายใน 5 ปีข้างหน้า และขับเคลื่อนสู่การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2065

ชู 3 green สานต่อ SCero Mission

คุณณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SC Asset ) กล่าวว่า หลังประกาศภารกิจ SCero Mission ในปี 2022 ​​ปัจจุบัน SC Asset สามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction) ได้แล้วกว่า 26,000 ตันคาร์บอน (เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 1.2 ล้านต้น) ผ่าน 3 แนวทางในการดำเนินธุรกิจ คือ ซื้อใช้ทิ้งเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนในการออกแบบดีไซน์ และการเลือกใช้วัสดุรักษ์โลก (Design & Material Purchasing)

การพัฒนานวัตกรรมเพื่อการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Electricity & Water Consumption) เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ในอาคารสำนักงาน และบ้านตัวอย่างกว่า 50 โครงการ

รวมทั้งการติดตั้งระบบอัจฉริยะเพื่อควบคุมการเปิด-ปิด เครื่องปรับอากาศ ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ Top 3 ในการใช้พลังงานสูงสุด ​รวมไปถึงการบริหารจัดการขยะและสิ่งเหลือใช้ภายในสำนักงาน รวมทั้งในไซต์ก่อสร้าง (Construction & General Waste)

ขณะที่ได้วาง Next Step เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายลด​ก๊าซเรือนกระจกลง 100,000 ตันคาร์บอน ภายในปี 2030 ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมาย SC Asset จึง​ได้วางแนวทาง​ขับเคลื่อน​โรดแม็พ 5 ปี ผ่านกลยุทธ์ 3 green ประกอบไปด้วย

1.  green-well standard : เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน ในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม คลังสินค้า รวมทั้งอาคารสำนักงาน

เพื่อให้ทุกโครงการที่พัฒนาขึ้นเป็นโครงการที่ทั้ง ดีต่อโลก และ ดีต่อคน ภายใต้​ 3 มิติ คือ การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly) การ​ส่งเสริมด้านสุขภาวะที่ดีให้ผู้อยู่อาศัย (Healthy Living) และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency) โดยจะเริ่มใช้มาตรฐานใหม่นับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป และนำร่องด้วย​​โครงการแนวราบ ก่อนจะขยายไปสู่กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ในอนาคต​ให้ครบถ้วนทุกกลุ่มธุรกิจ

2. green DNA : ​การมุ่งพัฒนาคน ​สร้างทัศนคติ และวัฒนธรรมองค์กร  ที่มีความเชื่อและมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเรื่องของความยั่งยืน และกลายเป็นส่วนหนึ่งใน DNA ของพนักงาน SC Asset ทุกคน

โดยมีเป้าหมายให้มีความตระหนักรู้ รวมทั้งลงมือทำอย่างจริงจัง ไปจนถึงการร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่คู่ค้าและลูกค้า เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการลด GHG ​อย่างจับต้องได้ ภายใต้แนวทาง Plan-Do-Check-Act

3. green collaboration : การสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อลด GHG ​ในทุกขอบเขตของธุรกิจ โดยเฉพาะในส่วนของ Supply Chain ​​ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เกิดการปลดปล่อยมากกว่า 80-90% ทำให้ต้องสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรตลอดทั้งห่วงโซ่

เริ่มตั้งแต่ช่วงออกแบบโครงการ เพื่อใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ Well Being ของผู้อยู่อาศัย การเลือก​ซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการวางแผนรูปแบบการก่อสร้างเพื่อใช้ทรัพยากร รวมทั้งบริหารจัดการขยะที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายสำคัญในปีนี้คือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันซัพพลายเออร์​ของ SC Asset 85% ได้รับการรับรองแล้ว พร้อมตั้งเป้าขยายเพิ่มเป็น 95% ภายในสิ้นปีนี้

ผนึก 100 พันธมิตร ร่วมขับเคลื่อน ‘SCero Together’

เป็นที่ทราบกันดีว่า การลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ประสิทธิภาพและสามารถบรรลุเป้าหมายสู่ Net Zero ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง แต่จำเป็นที่ทั้งอีโคซิสเต็มต้องมองภาพเดียวกันและพร้อมใจที่จะขับเคลื่อนร่วมกัน

SC Asset จึงได้ผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรกว่า 100 ราย ในทุกมิติของธุรกิจ ประกาศพลังร่วมกันผ่านการจัดงาน ‘SCero Together : เปลี่ยนอนาคตอสังหาฯ สู่ความยั่งยืน ซึ่งภายในงานได้รวบรวมโชว์เคสและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนและเปลี่ยนผ่านสู่ Green Construction จากแบรนด์พันธมิตรชั้นนำตลอดทั้งห่วงโซ่ อาทิ SCG, Tata, TOA, เบเยอร์, บลูสโคป, ไดกิ้น, มิตซูบิชิ ฯลฯ รวมถึงกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มสถาบันการเงิน ​ร่วมฉายภาพให้เห็นการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ทั้งจากฟากของดีมานด์และซัพพลายได้อย่างบูรณาการ

รวมทั้งแลกเปลี่ยน​มุมมองจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าใจ​ความจำเป็นที่ต้องเร่งขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน จากเวทีสัมมนา ‘Game Changers in Green Transitions พลิกโฉมธุรกิจอสังหาฯ และอุตสาหกรรม สู่อนาคตไร้คาร์บอน’ ที่มีผู้เข้าร่วมพูดคุยทั้งจากภาครัฐ ในฐานะผู้กำกับนโยบาย,​​  บริษัทวิจัยผู้บริโภค ไปจนถึงสถาบันการเงิน ซึ่งทุกฝ่ายล้วนมีส่วนสำคัญช่วยสนับสนุน และตอกย้ำความจำเป็นของเปลี่ยนผ่าน ซึ่งไม่ใช่แค่ทางเลือกแต่เป็นทางรอดที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต รวมทั้งเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาทางเลือกสินค้าที่ดีต่อโลกมากขึ้น

ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ, กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การจะขับเคลื่อนโลกไปสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน โดยเฉพาะจากประเทศพัฒนาแล้วที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emission) มากกว่า เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการเปลี่ยนผ่าน และจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินกว่า 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2030 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าต้องใช้งบราว 3 แสนล้านเหรียญต่อปี เพื่อการจัดการด้าน GHG Reduction รวมทั้งช่วยแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบจาก Climate Change

คุณอุษณา จันทร์กล่ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิปซอสส์ จำกัด กล่าวว่า​​ ผู้บริโภคไทยมองว่าทั้งภาครัฐและเอกชนควรให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะองค์กรที่ปลูกฝังเรื่อง green DNA จะช่วยทำให้พนักงานภูมิใจ และมั่นใจว่าได้ทำงานในองค์กรที่มีธรรมาภิบาล มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม ขณะที่ภาคเอกชนที่มีเป้าหมาย หรือดำเนินโครงการที่รับผิดชอบต่อสังคม ควรออกมาพูดประเด็นเหล่านี้มากขึ้น เพื่อช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่าน และสะท้อน Value ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคการผลิต หากสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น ก็จะส่งผลต่อการลดขยะ รวมทั้งตอบโจทย์ Consumers ที่ต้องการมุ่งสู่ Green Products เพิ่มขึ้น

คุณบุญรอด เยาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการ บริษัท The Creagy กล่าวว่า คำว่า Sustainability ต้องมองให้มากกว่าแค่เรื่องของสิ่งแวดล้อม และหาจุดเชื่อมกับธุรกิจ ว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจยั่งยืน หรืออยู่ได้เป็นร้อยปี แม้ต้องเผชิญกับ​สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยู่ใน Scenario ใด ภายใต้กรอบ กติกา หรือกฎระเบียบที่กำหนดไว้ ซึ่งธุรกิจต้องประเมินเรื่อง Climate Change ให้มากกว่าแค่โอกาสหรือความเสี่ยงในมิติของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น  แต่ต้องมองถึงผลกระทบต่อธุรกิจระยะยาวด้วย รวมทั้งการปรับตัวเพื่อรับมือ และตอบโจทย์ได้ท้ังการรักษากำไรในระยะยาว ควบคู่กับการ​สร้าง Positive Impact ให้กับโลกไปพร้อมกัน​

ดร.วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ภาคธนาคารมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่าน และมีการตื่นตัวในการพัฒนาโปรแกรมสินเชื่อ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทั้ง Green Loan, Sustainability-Link รวมไปถึงการออกบอนด์พิเศษต่างๆ

ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทยตั้งวงเงินด้าน Sustainable Financing เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจไว้กว่า​ 2 แสนล้านบาท จนถึงปี 2030 เพื่อสนับสนุนทั้งกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ และรายย่อย (เอสเอ็มอี) โดยมีมาตรวัดโครงการที่ขอรับสินเชื่อ ว่าเข้าเกณฑ์สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนหรือไม่ รวมทั้งการออกบอนด์ที่มอบคาร์บอนเครดิตให้ผู้ลงทุน เพื่อช่วยขับเคลื่อนเรื่องคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยด้วย ซึ่ง​ภาคธนาคารจำเป็นต้องขับเคลื่อนความร่วมมือในซัพพลายเชน  เนื่องจาก คาร์บอนฟุตพรินท์ส่วนใหญ่มาจากการให้สินเชื่อลูกค้า ทำให้ Collaboration มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสู่ Net Zero

 “SC Asset ในทศวรรษที่ 3 จะเติบโตบนธุรกิจที่หลากหลาย ควบคู่กับการสร้างคุณค่าต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม เพื่อสามารถเติบโตไปได้พร้อมๆ กัน แม้ปีนี้ธุรกิจอสังหาฯ จะเต็มไปด้วยความท้าทายรอบด้าน แต่ไม่สามารถลดความสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนลงไปได้ เพราะความยั่งยืนไม่สามารถรอได้”

คุณณัฐพงศ์ ยังได้กล่าวทิ้งท้าย เพิ่มเติม​​ว่า  “SC Asset มุ่งมั่นที่​จะเดินหน้าทำอย่างต่อเนื่อง และร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งพันธมิตรรายเดิมที่เคยทำงานร่วมกันมา รวมถึงพันธมิตรรายใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มเติมในอนาคต​ เพื่อช่วยกันสร้าง พร้อมส่งมอบอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่คนรุ่นถัดไป ตอกย้ำ​เป้าหมาย SCero Mission​​ ที่มุ่ง​ขับเคลื่อน​พันธกิจลดการปล่อย GHG ในทุกขั้นตอนของวงจรธุรกิจ ซึ่งจะสำเร็จได้ด้วยความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และการมีส่วนร่วมของทุกคน”