DialogueTop Stories

‘เซ็นทรัล ทำ’ ขยาย​โมเดล​ ‘เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง’ ชู 4 จังหวัดต้นแบบ เร่งสร้างผลกระทบเชิงบวกทั่วประเทศ

โครงการ 'เซ็นทรัล ทำ' มีหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนคือ การ​​สร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Values – CSV) ระหว่างธุรกิจ สังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม และ​ผู้มีส่วนได้เสียให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน

มุ่งมั่นสร้างคุณค่าร่วมเพื่อยกระดับการพัฒนาให้ทุกมิติสามารถเติบโตร่วมกันได้อย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการ ‘เซ็นทรัล ทำ – ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ’ ที่ขับเคลื่อนโดย กลุ่มเซ็นทรัล และสร้างผลกระทบเชิงบวกได้ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจมามากกว่า 8 ปีแล้ว

พร้อมความสำเร็จที่วัดในมิติเชิงคุณภาพแต่สามารถจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการขับเคลื่อนโครงการเซ็นทรัลทำ (CENTRAL THAM) ในปี 2567 ที่ผ่านมา สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนทั่วประเทศไทยได้กว่า 1,700 ล้านบาท ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนในชุมชนมากกว่า 150,000 ราย การสร้างงานและสนับสนุน​อาชีพให้คนพิการได้มากกว่า 1,100 คน รวมท้ังสนับสนุนและพัฒนาโรงเรียน 192 แห่ง

รวมทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อม​  เพิ่มพื้นที่สีเขียวและฟื้นฟูป่ากว่า 19,385ไร่ ลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารกว่า 19,254 ตัน ลดปริมาณขยะที่เข้าสู่หลุมฝังกลบกว่า 43,663 ตัน ติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 1,430 สถานที่ ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา 215 แห่ง และผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากถึง 207,176 เมกะวัตต์-ชั่วโมง 

คุณพิชัย  จิราธิวัฒน์  กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า  ผลสำเร็จดังกล่าวสะท้อนให้เห็นพัฒนาการ และการร่วมกัน ‘ทำ’ ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า การเติบโตของธุรกิจ ต้องเดินไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล พร้อมมุ่งขยายผลกระทบเชิงบวกอย่างต่อเนื่องไปในอนาคตทุกๆ ปี โดยการชี้วัดความสำเร็จของโครงการไม่ได้มองจากแค่มิติเศรษฐกิจในเรื่องของยอดขายหรือรายได้ที่โครงการทำได้เท่านั้น แต่ยังมองไปในหลายมิติทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการที่แต่ละชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น การขยาย​เครือข่ายเกษตรกร  การเพิ่มจำนวนศูนย์เรียนรู้ให้กระจายไปในแต่ละพื้นที่ได้มากขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มจำนวนพื้นที่สีเขียวได้มากขึ้นในแต่ละปี

ปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้ ซ็นทรัล ทำ สามารถขยายแนวร่วมที่แข็งแรง และเพิ่ม Positive Impact ได้เพิ่มขึ้นทุกมิติในแต่ละปี มาจากการวางกลยุทธ์ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างโมเดล Social Enterprise ที่แข็งแรงและยั่งยืนผ่าน 6 แนวทาง คือ

1. Community – พัฒนาศักยภาพและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน : ด้วยการพัฒนาความรู้และทักษะด้านอาชีพ โดยเฉพาะการส่งเสริมสินค้าที่มีอัตลักษณ์และเป็นที่ต้องการของตลาด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและหลีกเลี่ยงการแข่งขัน

2. Inclusion – การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียม : มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเท่าเทียม รวมทั้งมอบโอกาสด้านการศึกษาให้เยาวชน ผ่านการพัฒนาศูนย์เรียนรู้ เพื่อต่อยอดสู่การสร้างอาชีพได้ในอนาคต

3. Talent – พัฒนาศักยภาพที่เป็นเลิศของบุคลากร : มุ่งพัฒนาทักษะต่างๆ เพื่อพัฒนา​ศักยภาพของบุคลากร พร้อมส่งเสริมความหลากหลายในองค์กร ตามแนวทาง DEI (Diversity, Equity ,​ Inclusion)

4. Circularity – ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน : สร้างการเติบโตให้ธุรกิจ​ควบคู่ไปกับการ​รับผิดชอบต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม

5. Climate – การฟื้นฟูสภาพอากาศ : ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มการใช้พลังงานสะอาด

6. Nature – การอนุรักษ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ : ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ และต่อยอดมาสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรธรรมชาติที่มี เช่น การส่งเสริมเรื่องของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน รวมทั้งยังมีส่วนช่วยลดผลกระทบจาก Climate Change ได้อีกทางหนึ่งด้วย

4  Best Practice :  ‘จังหวัดต้นแบบ’ การพัฒนาที่ยั่งยืน

ตลอดเวลากว่า 8 ปี  ‘เซ็นทรัล ทำ’ ได้ร่วมมือกับชุมชนเพื่อพัฒนาและต่อยอดในบางพื้นที่สู่การเป็น ศูนย์การเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวชุมชน​ และเติบโตอย่างแข็งแกร่ง​ ​ซึ่งทุกความสำเร็จคือ ความภาคภูมิใจในการลงมือทำ และการร่วมมือกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดี โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่แนวคิด ‘สร้างคุณค่าร่วม’ (CSV)  เพื่อสร้างธุรกิจที่​เติบโตพร้อมการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้ง ​​ชุมชน คู่ค้า ลูกค้า หรือพนักงาน โดยเฉพาะการมีรากฐานที่แข็งแกร่งจากชุมชนที่แข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตัวเองได้ และมีความเชี่ยวชาญจนสามารถเป็นต้นแบบหรือศูนย์เรียนรู้ เพื่อถ่ายทอดไปสู่ชุมชน หรือพื้นที่อื่นๆ ให้สามารถส่งต่อการพัฒนาหรือกระจายความเข้มแข็งไปได้ทั่วประเทศในที่สุด

“ปัจจุบันเราขยายการพัฒนาผ่านเครือข่าย Centrality โดยเริ่มขับเคลื่อนโครงการในจังหวัดที่ธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลดำเนินการอยู่ เพื่อสามารถมีผู้สนับสนุนทั้งการเข้าถึงชุมชน หรือการได้ข้อมูลสำคัญในแต่ละท้องถิ่นเพื่อนำมาต่อยอดผ่าน 6 กลยุทธ์ ที่วางไว้ โดย ปัจจุบันสามารถพัฒนาชุมชนที่แข็งแรงจนถึง​​ระดับที่สามารถเป็น ‘ศูนย์เรียนรู้’ ได้แล้วจำนวน​ 13 ศูนย์เรียนรู้ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์และองค์ความรู้ที่หลากหลาย โดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 30 ศูนย์เรียนรู้ภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงการขยายผลศูนย์เรียนรู้จากชุมชน ไปสู่โรงเรียนต่างๆ เพื่อสร้างเครือข่ายเยาวชนที่มีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน ในการขายแนวร่วม พร้อม​สร้าง Best Practice เพื่อเร่งสปีดการพัฒนาได้เร็วขึ้น รวมทั้งเพิ่มพื้นที่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพิ่มมากขึ้นในอนาคต” 

ทั้งนี้ มี 4 จังหวัดต้นแบบ ที่โครงการเซ็นทรัลทำ สามารถต่อจิ๊กซอว์ในการพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์ จนสร้างเศรษฐกิจภายในชุมชนที่แข็งแรง สร้างรายได้แต่ละปีแตะระดับหลักสิบล้านบาท​ พร้อมทั้งสร้างงาน สร้างเศรษฐกิจต่อเนื่องเชื่อมโยงได้ภายในห่วงโซ่ กลายเป็นชุมชนต้นแบบที่สามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้สำเร็จ ประกอบด้วย

1. จังหวัดน่าน วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ ต.บัวใหญ่ อ.นาน้อย

Action : ร่วมกับพันธมิตรทั้ง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา, สำนักงานพาณิชย์จังหวัด, มูลนิธิอุทกพัฒน์ และกรมพัฒนาชุมชน ด้วยการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ปลูกไม้ยืนต้น ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และพัฒนาผลผลิตเพื่อเตรียมเข้าสู่การจดทะเบียนเป็นสินค้า GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) เช่น ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า โกโก้ มะม่วงหิมพานต์ พร้อมแปรรูปจำหน่ายผ่านใน​งาน ‘จริงใจ มาหา…นคร 2024’ และ​ร้านค้าชุมชน รวมถึง​ธุรกิจใน​กลุ่มเซ็นทรัล เช่น ท็อปส์

Impact : สร้างรายได้ให้ชุมชน 10 ล้านบาท เพิ่มคุณภาพชีวิตให้​สมาชิก​​​ 179 ครัวเรือน ​รวมถึงสามารถเป็นหนึ่งใน Destination ก​ารท่องเที่ยวด้าน Sustainable Tourism โครงการ ‘เสน่ห์น่านใต้’  ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)    พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ ผู้เข้าอบรบดูงาน เยี่ยมชมชุมชน และนักท่องเที่ยวในปี 2567 ได้กว่า 7,000 คน

ด้านสิ่งแวดล้อม : ร่วมสร้างฝายแหล่งน้ำ ระบบกระจายน้ำ ช่วย 50 ครัวเรือน ทำเกษตรอินทรีย์ ลดภัยแล้ง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 2,800 ไร่

ด้านการศึกษา : พัฒนาโรงเรียนชุมชนบ้านอ้อยครบวงจร สนับสนุนห้องเรียน ICAP ทักษะ EF, STEM, ห้องสมุด   จัดตั้งห้องทักษะอาชีพ สนับสนุนห้องกีฬาปันจักสีลัต และคอมพิวเตอร์ มีนักเรียน 586 คน ครู 60 คน พร้อมสนับสนุนอาชีพคนพิการ ขยายเครือข่ายรวม 50 คน พัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Good Goods และจัดตั้งศูนย์เรียนรู้อาชีพระดับภูมิภาค

2. จังหวัดอยุธยา  กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนา ต.คู้สลอด อ.ลาดบัวหลวง

Action : สร้างแบรนด์ ‘Smile Melon’  โดยเซ็นทรัล ทำ เข้าไปสนับสนุนการผลิตเมล่อนคุณภาพ โดยจัดสรรงบประมาณสร้างโรงคัดบรรจุสินค้าตามมาตรฐาน GMP โดยสนับสนุนโรงเรือน จำนวน 7 โรงเรือน พร้อมออกแบบแพ็คเกจจิ้งและป้าย เพื่อจำหน่ายที่ท็อปส์ และเปิดฟาร์มเป็นสถานที่ศึกษาดูงานด้านการปลูกเมล่อน รวมทั้งมีแผนขยายเครือข่าย​ผู้ปลูกไปยังจังหวัดอื่นๆ เช่น ชัยนาท  รวมทั้งเพิ่มปริมาณผลผลิตเมล่อนเพื่อส่งออกได้มากขึ้น พร้อมพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้การผลิตเมล่อนมาตรฐานส่งออก

Impact :  สร้างช่องทางขายในตลาดสิงคโปร์ จำนวนกว่า 6.2 ตัน สร้างรายได้กว่า 530,400 บาท และยังคงมียอดการสั่งต่อเนื่องมาถึงปี 2568 รวมยอดที่ส่งออกไปสิงคโปร์ ทั้งสิ้น 25.2 ตัน รายได้รวม 2 ล้านบาท  รวมทั้งมีผู้เข้าอบรม/ดูงานกว่า 1,200 คน  ปัจจุบันฟาร์มเมล่อน ได้ยกระดับเป็นชุมชนท่องเที่ยววิถีชุมชน ​​​มีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละประมาณ 2,000 คน สร้างรายได้ให้ชุมชนไปแล้วถึง 17 ล้านบาท เป็นการเพิ่มรายได้ด้านการท่องเที่ยวให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งในปี 2568 มีเป้าหมายที่จะขยายเครือข่ายผู้ปลูกไปยังจังหวัดอื่นๆ เช่น ชัยนาท

ด้านสิ่งแวดล้อม :  บริหารจัดการ Food Loss , Food Waste ผ่านการนำเมล่อนที่เน่าเสียไปเลี้ยงไก่​ และมีแผนขยายโครงการไปยังชุมชนเกษตรและโรงเรียน รวมถึงเพิ่มการใช้ประโยชน์จากของเสียทางการเกษตร เช่น ฟางข้าวและผักตบชวา ไปจนถึง​โครงการจัดการขยะในศูนย์การค้าเซ็นทรัล อยุธยา ที่คัดแยกและรีไซเคิลขยะ

ด้านการศึกษา :  พัฒนาโรงเรียนในท้องถิ่น และขยายเครือข่ายส่งเสริมอาชีพคนพิการ โดยได้จัดตั้งวิสาหกิจชุมชนสินค้าแฮนด์เมดผู้ปกครองคนพิการสติปัญญาทำอาชีพผลิตสินค้าหัตถกรรม สำหรับ​แบรนด์ Good Goods พร้อม​สนับสนุนพื้นที่ขาย โดยสามารถสร้างรายได้ให้คนพิการได้ในปีที่ผ่านมา 2 ล้านบาท และมีแผนขยายเครือข่ายเพิ่มเติมในปีนี้

3. จังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทา อ.แม่ออน

Action : ร่วมกับมูลนิธิสายใยแผ่นดิน (Earth Net Foundation) พัฒนา ‘พื้นที่วิถียั่งยืนแม่ทา’ ตั้งแต่ปี 2560 มุ่งสร้างเกษตรอินทรีย์ต้นแบบ พร้อมผลักดันคนรุ่นใหม่สู่บทบาทเกษตรกรรุ่นใหม่ ได้มีการพัฒนาคุณภาพผลผลิต สนับสนุนการรับซื้อ สร้างแบรนด์ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ และขยายช่องทางจัดจำหน่าย เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน พร้อมสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคารอบรม ห้องคัดแยกเมล็ดพันธุ์ อาคารคัดบรรจุผักมาตรฐาน อย. ตลอดจนรถขนส่งห้องเย็น ในปี 2567

Impact :  สร้างรายได้ให้ชุมชน 14 ล้านบาท สร้างคุณภาพชีวิตให้  130 ครัวเรือน พร้อมต่อยอด​พัฒนาโฮมสเตย์และศูนย์เรียนรู้ เตรียมความพร้อมในการก้าวไปสู่การท่องเที่ยวชุมชนเพื่อสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness) เพื่อเป็นพื้นที่สัมผัสประสบการณ์ในแบบแม่ทา เริ่มตั้งแต่ Gastronomic Delight การกินอาหารให้เป็นยา ดอกไม้กินได้ วัตถุดิบธาตุเจ้าเรือน Creative Agriculture การอนุรักษ์พันธุกรรมพืช ความมั่นคงทางอาหาร ห้องเรียนธรรมชาติ Folk Wisdom & Healing การรักษาโรคด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น Art & Heart ศิลปะบนผืนผ้า สปาบำบัด มีผู้เข้าอบรบและดูงานในชุมชนแม่ทากว่า 800 คน

ด้าน​​สิ่งแวดล้อม : จัดการขยะ ณ ตลาดจริงใจ แปรรูปขยะอินทรีย์ 7.52 ตัน เป็นปุ๋ยและก๊าซชีวภาพ รีไซเคิลวัสดุ 8.74 ตัน ​เตรียมเปิด ‘ศูนย์การเรียนรู้ด้านการจัดการขยะ’ ปี 2568  พร้อมขยาย ‘กาแฟสร้างป่า’ ที่แม่แจ่ม คลอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,570 ไร่  พร้อมขยายโครงการนำร่องป้องกันการ​เผา ‘Zero Burning Initiatives’  เพื่อเป็นกลยุทธ์ระยะยาวต่อสู้  PM2.5 ในพื้นที่ และลดการเผาทางการเกษตร ฟื้นฟูพื้นที่ ​​ 10,000 ไร่ สู่เศรษฐกิจหมุนเวียน

ด้านการศึกษา : พัฒนาโรงเรียนวัดดอนชัย ในพื้นที่  ​ปรับปรุงอาคาร ห้องสมุด ห้องคอมพิวเตอร์ ​พร้อมเติมทักษะที่สอดคล้องกับชุมชนแม่ทา  เพื่อตั้งเป้าเป็นโรงเรียน​ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ในปี 2568 รวมทั้งส่งเสริมอาชีพคนพิการสำหรับโครงการต่างๆ ของกลุ่มชุมชนรวมทั้งเครือข่ายกลุ่มเซ็นทรัลรวม​กว่า 22 ราย

4. จังหวัด ชัยภูมิ วิสาหกิจชุมชนปลูกพืชเศรษฐกิจบ้านเทพพนา อ.เทพสถิต

 Action : ต่อยอดความแข็งแกร่งของพื้นที่ ในฐานะ​ 1 ใน 7 ​ผู้ปลูกอะโวคาโด พันธุ์แฮสส์ในประเทศไทย ตามวิถี​เกษตรอัจฉริยะแบบยั่งยืน ด้วย​ระบบโซลาร์เซลล์ ธนาคารน้ำใต้ดิน ใช้ปุ๋ยหมักเติมอากาศ และเพาะเห็ดเรืองแสงสิรินรัศมี เพื่อแก้ปัญหาโรคพืชในการปลูกอะโวคาโด

Impact : ​สร้าง​รายได้  40 ล้านบาท ในปี 2567 และขยายผลเครือข่ายผู้ปลูกอะโวคาโดได้ถึง 1,000 ราย พร้อมต่อยอดท่องเที่ยวชุมชนเชิงเกษตรอินทรีย์ ร่วมกับสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด จัดทำเส้นทางท่องเที่ยวรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดย การสร้างศูนย์การเรียนรู้ 2 อาคาร สามารถรองรับผู้เข้าอบรมและนักท่องเที่ยวรวมทั้งหมด 14,000 คน

ด้านสิ่งแวดล้อม : แผน​ฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวและส่งเสริมนวัตกรรมเกษตรยั่งยืน ครอบคลุม 5,000 ไร่ ​เพื่อ​แก้ปัญหาดินเสื่อมโทรมและรายได้ไม่มั่นคง โดยส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง เช่น อะโวคาโด, แมคคาเดเมีย, ทุเรียน, และกาแฟโรบัสต้า พร้อมพัฒนาโรงผลิตถ่านไบโอชาร์และปุ๋ยหมักจากเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อลด PM2.5 ถ่านไบโอชาร์ช่วยฟื้นฟูดิน ลดต้นทุนการใช้ปุ๋ย กักเก็บคาร์บอน และรักษาความชุ่มชื้น  รวมทังยยายผลเป็น ‘ศูนย์เรียนรู้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อการเกษตร’ บูรณาการโรงผลิตถ่านชีวภาพและปุ๋ยหมัก เพื่อฝึกอบรมและขยายการเกษตรยั่งยืนทั่วภูมิภาค ตั้งเป้าเป็นโมเดลต้นแบบ สร้างเครือข่ายเกษตรสีเขียว และความมั่นคงทางเศรษฐกิจระยะยาวให้เกษตรกรท้องถิ่น

ด้านการศึกษา : พัฒนาโรงเรียนบ้านไร่พัฒนา เป็นศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมต้น ร่วมกับวิสาหกิจ ส่งเสริมการปลูกอะโวคาโด พร้อมพัฒนาทักษะและจ้างงาน​คนพิการในสวน โดยตั้งเป้าขยายการจ้างงานต่อเนื่องในปีนี้  พร้อมยกระดับสู่​ต้นแบบด้านการศึกษาและการศึกษาดูงานในพื้นที่ ให้โรงเรียนในเครือข่าย 10 โรงเรียน โดยเน้นการพัฒนาครูในด้านภาษาอังกฤษ, STEM, และการสร้างนักเรียนที่มีคุณธรรม

เซ็นทรัล ทำ เชื่อมั่นว่า การลงมือทำร่วมกันด้วยใจ คือรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ไม่เพียงแต่สร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่ยังร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สนับสนุนการเกษตรยั่งยืน และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเปิดโอกาสให้ชุมชนได้พัฒนาทักษะ สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว