เผยแผนลงทุนใหญ่ครั้งล่าสุด ผ่านโรดแม็พ 5 ปี ภายใต้งบ 5 พันล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตต่อเนื่อง สำหรับ บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้า ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ และ ซีคอน บางแค สู่การเป็น Destination สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ รวมทั้งรองรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบันที่ชอบความหลากหลาย แตกต่างและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
คุณตะติยะ ซอโสตถิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจศูนย์การค้าในประเทศไทย ยังมีการเติบโตต่อเนื่องมาตลอดกว่า 3 ปี ตั้งแต่หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ทั้งจากพื้นฐานที่ผู้บริโภคคนไทยชื่นชอบใช้เวลาภายในศูนย์การค้า และสามารถรองรับการทำธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ประกอบกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่มีความซับซ้อน ชอบความแตกต่างและเป็นตัวเองมากขึ้น ทำให้ทิศทางการพัฒนาศูนย์การค้าจากนี้ต้องเพิ่มความ Specialty หรือความพิเศษแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อตอบโจทย์ความ Sophisticated และ Specialty ของลูกค้าในปัจจุบันได้เพิ่มมากขึ้น
แนวคิดดังกล่าวจึงเป็นทิศทางในการพัฒนา ‘ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์’ เพื่อสามารถรองรับกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวพื้นที่กรุงเทพในภาคตะวันออก โดยเฉพาะ Community ในรัศมี 5-10 กิโลเมตร พร้อมแผนลงทุนรองรับการเติบโตช่วง 5 ปี ภายใต้งบลงทุนกว่า 5 พันล้านบาท ภายใต้แนวคิด ‘Multi Specialty Zone And Attractions’ ทั้งการปรับปรุงโซนต่างๆ ภายในศูนย์การค้าให้มีความทันสมัย และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
เติบโตด้วยแนวคิด ‘Multi Specialty Zone And Attractions’
สำหรับการพัฒนาโซน และเพิ่ม Attraction รวมทั้งแนวทางในการทำตลาดเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นนั้น คุณสุรชัย เจริญพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ , คุณประภา จิตวิวัฒน์พร ผู้อำนวยการสายงานพัฒนาธุรกิจ และ ดร.จักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการ สำนักสื่อสารการตลาด ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ ให้ข้อมูลร่วมกันว่า จะมุ่งเน้นพัฒนาพื้นที่ พร้อมดึงแบรนด์ใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าใจความเป็น Specailty และ Unique เพื่อสร้างความแตกต่างให้ศูนย์การค้า รวมทั้งเพิ่มความถี่ในการเข้ามาใช้บริการภายในศูนย์ได้มากยิ่งขึ้น
“สำหรับการลงทุน 5 พันล้านบาท งบส่วนใหญ่ราวครึ่งหนึ่งจะใช้เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ที่ชื่อว่า MyScape ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่กว่า 4 หมื่นตารางเมตร ภายในซีคอนสแควร์ มาพัฒนาเป็นพื้นที่แห่งประสบการณ์ ที่ผสานความเป็น Community Mall ไลฟ์สไตล์ และศูนย์การค้าไว้ด้วยกัน ผ่าน 4 โซน หลักที่ครอบคลุมการใช้ชีวิตของทุกกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น MyPluse ที่ชั้น 1 พื้นที่รวมแฟชั่นและกิจกรรมที่หลากหลาย MySelf ชั้น 2 พื้นที่รวบรวมความเป็นตัวเองท้ังแฟชัน สินค้าไอที ที่ตอบเทรนด์คนรุ่นใหม่ พร้อมออกแบบพื้นที่ให้สามารถเชื่อมสู่โซน MyChill-out ที่ชั้น3 ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมร้านอาหาร คาเฟ่ เบอเกอรี่ สำหรับพบปะสังสรรค์ และ MyDineSpace แหล่งรวมแบรนด์ร้านอาหาร ในบรรยากาศสุดพรีเมียม เพื่อรองรับให้ MyScape กลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของกรุงเทพฯ โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568 “
นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนโครงการอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อรองรับการเติบโต และการเปิดให้บริการของ MyScape ทั้งการสร้างอาคารที่จอดรถเพิ่มเติมอีกกว่า 2 พันคัน ทำให้เพิ่มศักยภาพรองรับรถยนต์ได้มากกว่า 1.5 หมื่นคัน ภายใต้งบลงทุนราว 700 -800 ล้านบาท, การขยายพื้นที่ในเฟสสอง ของ ‘มันมัน ศรีนครินทร์’ (MunMun Srinakarin) อีกราว 1 พันล้าน เพื่อเป็นศูนย์รวมงานด้านศิลปะและไลฟ์สไตล์ พร้อมเป็นอีกหนึ่งการสนับสนุนและสร้างชุมชนด้านงานศิลปะ กลุ่มศิลปิน และอีเวนท์ด้านศิลปะต่างๆ ในฐานะ ‘ห้างสรรพศิลป์คาร์ฟท์’ รวมทั้งการรีโนเวทพื้นที่ฝั่งโลตัส ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแม็กเน็ตสำคัญของซีคอนฯ และการเพิ่มแบรนด์ใหม่ๆ ที่ผู้บริโภคชื่นชอบเข้ามาเติมเต็มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีร้านค้าให้บริการในซีคอนรวมกว่า 500 ร้านค้า และภายหลังการเปิดให้บริการ MyScape จะมีร้านค้าเพิ่มเข้ามาอีกราว 150 ร้านค้า
ในส่วนการดึงคนเข้ามาใช้บริการให้มากขึ้น จะมุ่งเน้นกลยุทธ์อีเวนท์ มาร์เก็ตติ้ง เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ และแปลกใหม่ให้ผู้เข้ามาใช้บริการอยู่ตลอดเวลา โดยจะมีการจัดอีเวนท์ใหม่ในทุก 2-3 สัปดาห์ตลอดทั้งปี ทั้งในส่วนของซีคอนสแควร์ และซีคอน บางนา ซึ่งปีที่ผ่านมา มีผู้เข้ามาใช้บริการเติบโตขึ้นทั้ง 2 ศูนย์ โดยซีคอนสแควร์ มีผู้ใช้บริการรวมกว่า 32 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่า 6.25% ขณะที่ซีคอนบางแค มีผู้ใช้บริการ 22 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% เช่นเดียวกับการเติบโตของรายได้ ซึ่งในปีที่ผ่านมาทั้งสองศูนย์มีรายได้รวม 3,345 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 12% พร้อมวางเป้าหมายเติบโตต่อเนื่องในสิ้นปีนี้ไว้ที่ 8-10%
ขับเคลื่อน Sustainable Growth โฟกัสทั้งธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
นอกจากลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจแล้ว ทางซีคอนสแควร์ ยังลงทุนผ่านโปรเจ็กต์ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อมีส่วนช่วยลดขยะ และลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินท์จากการดำเนินงานให้น้อยลงด้วย
ดร.พรต ซอโสตถิกุล รองกรรมการผู้จัดการ ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ กล่าวว่า ซีคอนสแควร์ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืน มุ่งเน้นขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้ผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง และเป็นผู้บุกเบิก Social Projects ที่แตกต่าง เพื่อสร้างสาธารณประโยชน์ให้ชุมชนโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างสถานีรอรถประจำทางติดแอร์ หรือ ป้ายรถเมลล์ติดแอร์ บริเวณหน้าศูนย์การค้า เพื่อให้บริการประชาชนที่มาใช้บริการและผู้คนโดยรอบเข้ามาใช้รอรถประจำทาง พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายใน ซึ่งนับเป็นศูนย์การค้ารายแรกที่พัฒนาโครงการดังกล่าวนี้ พร้อมติดตั้งแผงโลซลาร์ เพื่อนำไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้ในการจ่ายกระแสไฟฟ้า เพื่อเป็นต้นแบบในการอนุรักษ์พลังงานและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม โดยนำร่องที่ซีคอนสแควร์เป็นรายแรกในประเทศไทย ก่อนจะขยายไปให้บริการเพิ่มเติมที่ซีคอน บางแค และได้รับการตอบรับจากผู้เข้ามาใช้บริการเป็นอย่างดี
ซีคอนสแควร์ยังได้ชื่อว่าเป็น ศูนย์การค้าที่ใช้พลังงานสะอาดมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมาแล้วกว่า 4 ปี และปัจจุบันสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้รวมกว่า 6 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง โดยในปีที่ผ่านมา สามารถลดคาร์บอนจากการใช้พลังงานโซลาร์ได้กว่า 1.5 หมื่นตันคาร์บอน หรือเทียบเท่าปริมาณการดูดซับของต้นไม้กว่า 1.7 ล้านต้น รวมทั้งยังช่วยให้ทางศูนย์การค้าลดต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมลงได้เพิ่มมากขึ้นด้วย
“ในปีนี้ ทางศูนย์มีแผนลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มเติม เพื่อตั้งเป้าผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากขึ้นอีก 1.4 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง โดยมีเป้าหมายเพิ่มการลดคาร์บอนฟุตพรินท์ในองค์กรได้มากขึ้น รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานโซลาร์ได้ราว 20% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดภายในศูนย์การค้า”
ยังมีโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่ซีคอนฯ ขับเคลื่อน เช่น การร่วมมือกับ กทม. เพื่อเข้าร่วม โครงการไม่เทรวม ทำให้สามารถลดปริมาณขยะไปสู่หลุมฝังกลบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยซีคอนสแควร์ สามารถลดปริมาณขยะลงได้กว่า 70% จากปีละ 18 ตัน เหลืออยู่ราว 5 ตัน ส่วนซีคอนบางแค สามารถลดได้จากปีละ 10 ตัน เหลือ 3 ตัน ซึ่งได้รับความร่วมมือทั้งจากพนักงานและร้านค้าภายในศูนย์ พร้อมทั้งการติดตั้งถังแยกขยะภายในศูนย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดขยะจากความร่วมมือของผู้เข้ามาใช้บริการได้มากขึ้น รวมไปถึงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินและขยะอาหารของร้านค้าต่างๆ ภายในศูนย์ เพื่อส่งมอบให้พันธมิตรในการนำไปส่งต่อให้ผู้มีความต้องการ
ซีคอนฯ ยังให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการเดินทางมายังศูนย์การค้า ด้วยการลงทุนเพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานในการเข้าถึงศูนย์การค้าทั้งสองแห่งได้ดีขึ้น ทั้งการสร้างทางเชื่อมต่อกับระบบ Mass Transit เพื่อเดินทางเข้ามายังศูนย์ได้อย่างสะดวก ทั้งการสร้างสะพานเพื่อเชื่อมต่อเข้าโครงการซีคอนแสควร์ รวมทั้งการเชื่อมระบบกับรถไฟฟ้า BTS สายสีเหลือง สถานีสวนหลวง ร.9 เพื่อเชื่อมต่อเข้าสู่ศูนย์ ขณะที่ซีคอน บางแค ได้ทำการเชื่อมระบบกับ MRT ที่สถานีภาษีเจริญ เพื่อสร้างทางเชื่อมที่สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์การค้าได้โดยตรง ซึ่งการลงทุนดังกล่าวนี้ ไม่เพียงช่วยเพิ่มความสะดวกและดึงคนเข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าได้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ยังช่วยลดการสร้างมลพิษ การปล่อยคาร์บอน และฝุ่นจากการเดินทาง เป็นอีกส่วนหนึ่งในการได้มีส่วนช่วยเหลือทั้งสังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันด้วย