‘แกร็บ’ (Grab)ในฐานะแบรนด์ผู้นำอันดับ 1 แพลตฟอร์มผู้ให้บริการ Food Delivery และ Ride- Hailing หรือแอปสั่งอาหารและเรียกรถ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ให้บริการครอบคลุมกว่า 800 เมือง ใน 8 ประเทศ ประกอบด้วย กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ผ่านผู้ใช้บริการรวมกว่า 41 ล้านคนต่อเดือน
‘แกร็บ’ วางกลยุทธ์ขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2025 นี้ ภายใต้แนวคิด S.M.A.R.T เพื่อตอกย้ำความแข็งแรงและจุดแข็งทั้งในมิติการสร้างความยั่งยืน การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ Stakeholders ทุกภาคส่วนภายในอีโคซิสเต็ม ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ คนขับกลุ่ม Mobility และ Delivery รวมทั้งผู้ใช้บริการ และการต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างประสบการณ์ที่ดี ผลักดันการเติบโตของแพลตฟอร์ม รวมทั้งการเก็บ Data เพื่อต่อยอดในการแก้ Painpoint รวมถึงยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งาน พร้อมทั้งนำไปวิเคราะห์เพื่อสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้สังคมและสิ่งแวดล้อมได้เพิ่มมากขึ้น
คุณจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่าความสำเร็จของแกร็บ ประเทศไทยในปีที่ผ่านมา ที่ทำให้ยังครองความเป็นแพลตฟอร์มผู้นำ ทั้งการมีบทบาทในการส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศไทย ด้วยการขายพื้นที่ให้บริการจุดรับ-ส่ง ใน 4 สนามบินหลักของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ และภูเก็ต พร้อมทั้งมีส่วนช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองรอง และการขยายพื้นที่ให้บริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการใช้บริการในเมืองรองเพิ่มขึ้นถึง 90% โดยยอดใช้บริการในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตขึ้นถึง 138%
ขณะเดียวกันยังปรับปรุงบริการใหม่ๆ เพื่อแก้ Painpoint ผู้ใช้งาน ซึ่งล้วนได้รับการตอบรับและมีการเติบโตที่ดีจากผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งอาหารแบบกลุ่มที่ช่วยเพิ่มยอดสั่งอาหารให้เติบโตได้ถึง 2 เท่า , บริการจองรถล่วงหน้าที่ทำให้เพิ่มการใช้งานได้กว่า 60% รวมทั้งบริการจองโต๊ะภายในร้านที่เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 11 เท่าตัว รวมทั้งการคำนึงถึงความคุ้มค่าในการใช้งานผ่านแพลตฟอร์มมากขึ้นทั้ง GrabCar SAVER และ GrabBike SAVER ที่ช่วยเพิ่มยอดการใช้งานได้มากขึ้น 4 เท่า ขณะที่ตัวเลือก Delivery SAVER ก็มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 3 เท่า รวมทั้งบริการ Hot Deals ผ่านโปรสุดคุ้มจากร้านดัง ที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถประหยัดไปได้กว่า 2 พันล้านบาท
ส่วนบริการกลุ่ม B2B ผ่านบริการหลักอยาง GrabADS มีการปรับรูปแบบให้บริการจากการขยายโฆษณา มาเป็นบริการโซลูชันการทำตลาดร่วมกันกับแบรนด์อย่างสร้างสรรค์ ทำให้ลูกค้าพันธมิตรสามารถสร้างแบรนด์และยอดขายจากออนไลน์ไปสู่ออฟไลน์ รวมถึงบริการ Grab For Business ที่มีการขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ จนมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 80%
ขณะที่เป้าหมายในการเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับปีนี้ จะขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์ S.M.A.R.T สะท้อนการตอกย้ำจุดแข็งและจุดมุ่งหมายสำคัญในการทำธุรกิจของแกร็บ ประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย
S : Sustainability มุ่งสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจ ผ่านแนวคิด 3P ซึ่งด้าน Planet ที่ตั้งเป้าลดคาร์บอนภายในอีโคซิสเต็ม โดยตั้งเป้า Carbon Neutrality ในปี 2040 ผ่านการขับเคลื่อนเช่น การเพิ่มปริมาณรถ EV ทั้ง Cars และ Bikes ซึ่งปัจจุบันมี EV ในแพลตฟอร์มรวมแล้วกว่า 1 หมื่นคัน พร้อมเป้าหมายระดับภูมิภาค เพื่อเพิ่มการใช้ EV ในแพลตฟอร์มอีก 5 หมื่นคัน โดยใช้กลยุทธ์ Affordable มาเป็นตัวช่วยขับเคลื่อน เพื่อให้คนขับสามารถเข้าถึง EV ได้ง่ายขึ้น ผ่านบริการทางการเงินที่มีให้บริการอยู่ในแพลตฟอร์มด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญใน การลดขยะและมลพิษ ผ่านการเพิ่มการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้งาน ทั้งการไม่รับช้อนส้อมพลาสติกจากทางร้านค้า ซึ่งได้ริเริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2019 และปัจจุบัน มีผู้ใช้งานในแพลตฟอร์มถึง 90% ที่เลือกไม่รับช้อมส้อมพลาสติกจากร้านค้า รวมทั้งมีผู้สนใจร่วมโครงการชดเชยคาร์บอน ที่สามารถส่วนร่วมได้ผ่านการสั่งอาหารในแต่ละออเดอร์ ด้วยการสนับสนุนกิจกรรมเพิ่มพื้นที่สีเขียวและนำไปซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยคาร์บอนฟุตพรินท์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ
“แกร็บยังได้ริเริ่ม ‘โครงการ Grab Go Green อิ่มคุ้มช่วยโลกกับ GrabFood‘ เพื่อส่งเสริมการสั่งอาหารในราคาพิเศษช่วงใกล้ปิดร้าน หรือหลัง 1-2 ทุ่ม เพื่อลดโอกาสการเกิดขยะอาหารจากร้านค้า ที่เริ่มทดลองในปีที่ผ่านมา และจะขยายผลเพิ่มเติมในปีนี้ ด้วยการนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อต่อยอดโครงการให้มีศักยภาพและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกระทบเชิงบวกได้เพิ่มมากขึ้น และยังสอดคคล้องกับการขับเคลื่อนกลยทุธ์ในการต่อยอดด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมซึ่งเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่แกร็บจะขับเคลื่อนในปีนี้”
ส่วนมิติ People จะมุ่งสร้างโอกาสให้กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ผ่าน โครงการ GrabSpark ที่เปิดเวทีให้นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยแสดงศักยภาพผ่านการประกวดแผนธุรกิจ พร้อมโอกาสฝึกงานกับแกร็บ รวมถึง โครงการ GrabScholar ด้วยการมอบทุนการศึกษาให้นักเรียนนักศึกษาที่มีศักยภาพ ที่เตรียมเปิดตัวเร็วๆ นี้
M : Market Expansion ขยายบริการให้เข้าถึงคนทุกเจเนอเรชัน
การพัฒนาบริการและขับเคลื่อนแคมเปญการตลาด เพื่อเพิ่มการใช้งานสู่กลุ่มเป้าหมายทุกเจนเนอเรชั่น ทั้งการเปิดต้ว Friends of Grab ได้แก่ เจมีไนน์-โฟร์ท และ สกาย-นานิ เพื่อดึงดูดกลุ่ม Gen Z และ Millennials หรือเปิดตัว เบลล่า-ราณี ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อสื่อสารกับกลุ่ม GenY พร้อมฟีเจอร์บัญชีครอบครัว เพื่อเข้าถึง BAby Boomer และ Alpha ผ่านกลุ่มผู้ใช้งานหลัก รวมทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผ่านการสนับสนุนอีเวนท์หลักทางด้านการท่องเที่ยว
A : Affordability นำเสนอทางเลือกของบริการในราคาที่เข้าถึงได้
ขยายบริการ GrabCar SAVER และ GrabBike SAVER ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากเดิมที่ทดลองให้บริการเฉพาะหัวเมืองหลัก รวมทั้งบริการ Hot Deals ในกลุ่มเดลิเวอรี่ ที่จะขยายร้านที่เข้าร่วมโครงการและระยะเวลาพิเศษเพื่อจัดโปรโมชั่นได้เพิ่มมากขึ้น
R : Retention รักษาฐานลูกค้าและมัดใจคนขับ-พาร์ทเนอร์ร้านค้า
การยกระดับกลุ่มลูกค้าประจำ และใช้จ่ายสูงผ่านโปรแรกมสมาชิกอย่าง GrabUnlimited และ GrabVIP เพื่อมอบสิทธิประโยชน์และประสบการณ์พิเศษมากขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มคนขับ ที่จัดกลุ่มตามประวัติการให้บริการ พร้อมข้อเสนอด้านสิทธิประโยชน์ เช่น ฟรีประกันอุบัติเหตุหรือประกันสุขภาพ , การลดดอกเบี้ยสำหรับบริการทางการเงินต่างๆ เช่นเดียวกับกลุ่มร้านค้าพันธมิตรที่จะเพิ่มข้อเสนอพิเศษด้านการเงิน หรือการประกันทางธุรกิจ เป็นต้น
T : Tech & Innovation พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คน
มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยแก้ปัญหาและตอบโจทย์ความต้องการทที่เกิดขึ้นภายในอีโคซิสเต็ม
“กลยุทธ์ S.M.A.R.T ตอกย้ำเป้าหมายสำคัญที่แกร็บต้องการบรรลุ ทั้งการขยายผลกระทบเชิงบวกจากธุรกิจทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ควบคู่ไปกับการสานต่อบริการ และแคมเปญการตลาดต่างๆ ให้ขยายการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานใหม่ๆ รวมทั้งการบาลานซ์ทั้งคุณภาพและความคุ้มค่า (Quality & Affordability) เพื่อรักษาความแข็งแรงในอีโคซิสเต็ม ไม่ว่าจะเป็นฐานกลุ่มพันธมิตรแบรนด์ ร้านค้า คนขับ และผู้ใช้งาน รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้างเครื่องมือการตลาดใหม่ๆ ที่ประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งแกร็บให้ความสำคัญมาตลอดการขับเคลื่อนธุรกิจตลอดกว่า 12 ปี สะท้อนผ่านการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ระบุถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นภายในอีโคซิสเต็มของแกร็บภายในปี 2023 ซึ่งมีสัดส่วนราว 1% ของ GDP ประเทศไทย หรือมีมูลค่าสูงถึง 1.79 แสนล้านบาท”