Top StoriesTrending

GC กับภารกิจพลิก​ธุรกิจจากภาวะขาดทุน ฝ่าจุดต่ำสุดของอุตสาหกรรม สู่ธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ  

GC ตั้งเป้าพลิกจากภาวะขาดทุน ฝ่าจุดต่ำสุดอุตสาหกรรม มุ่งลดต้นทุน เพิ่มรายได้ 4,500 ล้านบาทต่อปี เดินหน้าสู่ธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ ผลักดัน EBITDA เพิ่มอีก 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ภายในปี 2573

เมื่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปัจจุบัน ขับเคลื่อนวัฏจักรมาอยู่ใน​ภาวะที่เป็นจุด​ต่ำสุด ซึ่งต้องเผชิญกับหลากหลายปัจจัยเสี่ยง ทั้งสถานการณ์ความผันผวน และภาวะอุปทานส่วนเกินที่เกิดขึ้นภายในอุตสาหกรรม รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อทั้งโลก ไม่ว่าจะในมิติด้านเศรษฐกิจ การเมือง และพลังงาน ที่ต้องเฝ้าระวังและติด​ตามอย่างใกล้ชิด

แต่ GC หรือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ยังคงมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถรับมือ และขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อฝ่ามรสุมปัจจัยเสี่ยงให้กลับมาแข็งแรง เพื่อหยุดภาวะขาดทุน และพลิกกลับมาทำกำไรได้ในเร็ววัน

พลิกธุรกิจด้วย Holistic Optimization วางรากฐานสู่การเติบโตในอนาคต

GC วางแนวทางการต่อยอดเพื่อกลับมา​เติบโตได้อย่างยั่งยืน ผ่านแนวทาง Holistic Optimization เพื่อสร้างศักยภาพที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจแบบองค์รวม ด้วย​การลดต้นทุนและเพิ่มรายได้จากการ​ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าลดต้นทุนพร้อมสร้างรายได้ราว 4,500 ล้านบาทต่อปี รวมทั้ง​​ต่อยอดสู่การเป็นธุรกิจ High Value & Low Carbon Business ที่จะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ แก่ธุรกิจ เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน EBITDA เพิ่มอีก 300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1 หมื่นล้านบาท ต่อปี ภายในปี 2573

คุณณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GC กล่าวว่า การขับเคลื่อน​ Holistic Optimization หรือการลดต้นทุนเพิ่มรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นตัวเร่งสำคัญเพื่อดึงให้ธุรกิจกลับมาสู่สถานการณ์ปกติได้​ แม้ยังแวดล้อมด้วยปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน เพื่อรักษาการเติบโตของธุรกิจในระยะสั้น จากภาระค่าใช้จ่ายที่ลดลงเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ พร้อมปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ​​ภายใต้ 3 แนวทางสำคัญ ประกอบด้วย การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การเสริมศักยภาพธุรกิจมูลค่าสูง และการเติบโตในธุรกิจที่ยั่งยืน​

1. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

มุ่งเสริม​​ความสามารถ​การแข่งขันและสร้างความมั่นคง​ระยะสั้น ​ผ่าน​​มาตรการเร่งด่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และรักษาเสถียรภาพของธุรกิจ คู่กับบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทาง Asset Light และลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (Capex) รวมถึงดำเนินมาตรการเสริมสภาพคล่องผ่านวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน เพื่อรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและรองรับการเติบโตในอนาคต

โดย​​​ GC คาดว่าจะได้รับการ​จัดสรรปริมาณอีเทนโดย ปตท. เพิ่มขึ้น 20% จากปี 2567 ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำคัญที่ช่วย​​เสริมความมั่นคงด้านวัตถุดิบ เพิ่มความสามารถแข่งขัน นอกจากนี้ ได้​ลงนามข้อตกลงร่วมกับ ปตท. และพันธมิตรระดับโลก ได้แก่ บริษัทย่อยใน Enterprise Products Partners บริษัท เอ็มไอเอสซี เบอร์ฮาด และบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด เพื่อจัดหาและขนส่งอีเทนคุณภาพสูง 400,000 ตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี

ถือได้ว่า GC เป็นผู้ผลิตเคมีภัณฑ์รายแรกที่นำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ มาใช้ในประเทศไทย ทดแทนวัตถุดิบอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน ความยืดหยุ่น และความยั่งยืน รวมทั้งยังสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมของโรงงานที่มีอยู่โดยไม่ต้องปรับปรุงใหม่ เพราะ​ออกแบบให้รองรับอีเทนได้ตั้งแต่ต้น ลดความจำเป็นในการลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าโครงการจะเริ่มดำเนินการในปี 2572

2. เสริมศักยภาพธุรกิจมูลค่าสูง

ผ่านการหาโอกาสใหม่ๆ จากธุรกิจในกลุ่ม Specialty ที่ต้องอาศัยพื้นฐานความเชี่ยวชาญขององค์ความรู้ เทคโนโลยี และบุคลากรที่ GC มีอยู่มาต่อยอด เพื่อเติบโตได้เพิ่มเติมจากฟาก Commodity รวมทั้งสร้างความแตกต่างและมูลค่าเพิ่มให้ GC มีความแตกต่างจากตลาดและคู่แข่งเพิ่มขึ้น​

หนึ่งโครงการที่คาดว่าจะเดินหน้าลงทุนในปี 2568 นี้ คือ allnex SEA Hub ในระยอง ที่มุ่งเน้น Waterborne Coatings และ Coating Resins ชนิดพิเศษ เพื่อขยายตลาดในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ หลังจากปีที่ผ่านมา ทาง allnex เพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานที่ใหญ่ที่สุด ที่มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และลงทุนในโรงงานแห่งใหม่ที่ เมืองมะหาด ประเทศอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ปี 2568

โครงการนี้จะช่วยเสริมศักยภาพ GC ด้านการผลิตและการกระจายสินค้าในตลาดที่มีการเติบโตสูง​ รวมทั้งยังสนับสนุน​การพัฒนามาบตาพุดเป็น Specialty Hub เพื่อรองรับธุรกิจ​ในกลุ่ม High Value & Low Carbon ได้ทั้งห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) พร้อม​เสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในการดึงดูด​พันธมิตร หรือ​โครงการใหม่ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Specialty Hub โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม​

3. สร้างการเติบโตในธุรกิจที่ยั่งยืน

ผ่านโซลูชันเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมตลาดและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ พลังงานสะอาด วัสดุชีวภาพ ไปจนถึงเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemicals) สอดคล้องแนวโน้มตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจหมุนเวียน โดย GC ให้ความสำคัญกับ 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักในธุรกิจ Bio & Circularity ได้แก่

โอลิโอเคมี (Oleochemicals) – มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์จากพืช ผ่านการดำเนินงานของ GGC และ Emery ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้ GC Group พัฒนาโซลูชันเคมีชีวภาพที่สามารถทดแทนการใช้วัตถุดิบฟอสซิลในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ

พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) – ผ่าน NatureWorks บริษัทร่วมทุนกับ Cargill ในการพัฒนาและผลิต PLA ซึ่งเป็นวัสดุชีวภาพที่ย่อยสลายได้ รองรับตลาดบรรจุภัณฑ์ อุตสาหกรรมสิ่งทอ และผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและพร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในปลายปี 2568

พลาสติกรีไซเคิล (Recycled Plastics) – เป็นผู้บุกเบิกและขยายตลาดวัสดุรีไซเคิลคุณภาพสูงมาอย่างยาวนาน โดย ENVICCO ผลิต rPET และ rHDPE ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม

เชื้อเพลิงและโพลีเมอร์ชีวภาพ (Biofuels & Biopolymer) – GC ขยายศักยภาพผ่าน Biorefinery ที่ครบวงจร ได้แก่ เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) สำหรับอุตสาหกรรมการบิน รวมถึงผลิตภัณฑ์ Bio-chemicals และ Bio-polymer สำหรับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ก่อสร้าง ตกแต่ง ชิ้นส่วนยานยนต์ ขิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า และสิ่งทอ

GC StandOut #แตกต่างอย่างยั่งยืน 

ศักยภาพในการวางวิสัยทัศน์เพื่อพลิกจากภาวะขาดทุน ฝ่าจุดต่ำสุดของอุตสาหกรรมให้กลับมาทำกำไรและเติบโตอย่างยั่งยืนของ GC มาจากการมองเห็นโอกาสจากความแตกต่าง ความเข้าใจในตัวตนถึงความเชี่ยวชาญ และการเป็นผู้นำ​ธุรกิจที่ไม่ยึดติดความสำเร็จตามกรอบวิธีคิดเดิมๆ แต่มีความเข้าใจถึงเมกะเทรนด์และบริบทโลก รวมทั้งแลนด์สเคปในธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

เพื่อสะท้อนตัวตนและวิธีคิดได้อย่างชัดเจนมากขึ้น GC จึงได้เปิดตัวแคมเปญ GC StandOut #แตกต่างอย่างยั่งยืน ตอกย้ำจุดแข็งที่แตกต่าง และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องขององค์กร ผ่านนวัตกรรมที่ยั่งยืน และการสนับสนุนวิธีคิด วิธีทำงานแบบใหม่ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของ GC อย่างมีเอกลักษณ์ ​และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ GC ก้าวข้ามในทุกวิกฤต และสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืนในอนาคต

นอกจากนี้ GC ยังได้รับการจัดอันดับ Top 1% สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ทั่วโลกจาก S&P Global  และครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง 6 ปี จากดัชนีความยั่งยืนของดาวน์โจนส์ (DJSI) เป็นรายแรกและรายเดียวของโลกในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ ​สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและสร้างคุณค่าให้กับทุกภาคส่วน รวมทั้งยังได้รับผลการประเมินระดับ A (Leadership Level) ซึ่งเป็นระดับสูงสุด 5 ปีต่อเนื่อง ด้านการบริหารจัดการน้ำ (Water Security) ภายใต้กรอบการประเมินของสถาบันประเมินความยั่งยืนที่น่าเชื่อถือระดับโลก CDP ประจำปี 2567 จากจำนวนบริษัททั้งหมดที่เข้าร่วมประเมินกว่า 22,000 บริษัทอีกด้วย

ความสำเร็จในหลากหลายมิติของ GC โดยเฉพาะการคิดต่าง ทำต่าง ทั้งเพื่อรักษาการเติบโตของธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง แม้อยู่ใน​สถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย รวมไปถึงการ​สร้างให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อการเติบโตของธุรกิจ ควบคู่ไปกับการดูแล​ผู้คน​ สังคม รวมทั้งสิ่งแวดล้อม ​สะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์และตัวตันที่ชัดเจนของ GC โดยเฉพาะ​การเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสุดท้ายแล้วมักจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งการนำมาซึ่งโลกที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง