DialogueTop Stories

เข้าใจ 2T ในซัพพลายเชน เมื่อห่วงโซ่ต้อง ‘โปร่งใส’ (Transparency) และ ‘ตรวจสอบย้อนกลับ’ (Traceability) ​ได้

เมื่อ 'ห่วงโซ่ธุรกิจ' ต้องขับเคลื่อนตามกรอบความยั่งยืน การมี 'ความโปร่งใส และ ตรวจสอบย้อนกลับได้ จึงมีความสำคัญต่อภาคธุรกิจเพิ่มมากขึ้น

Grand View Research ระบุว่า บริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพด้านความโปร่งใส (Transparency) และการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ภายในในห่วงโซ่อุปทานเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ เพื่อ​​สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบและรับรองแนวทางการจัดหา รวมทั้งการผลิต และการดำเนินการเพื่อ​ให้ทั้งห่วงโซ่ถูกต้องตามกรอบจริยธรรมและความยั่งยืน

โดย ‘ความโปร่งใส​’ (Transparency) หมายถึง กระบวนการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับซัพพลายเออร์ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดขององค์กรธุรกิจ ​และ Stakeholders  เพื่อเข้าใจกระบวนการผลิต และจัดจำหน่ายสินค้า รวมไปถึงสถานที่ในการผลิต การเคารพกฎหมายแรงงาน Journey ตั้งแต่การผลิตจนสินค้าไปถึงมือลูกค้า รวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อ​สร้างความไว้วางใจให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อมีส่วนช่วย​​ตัดสินใจที่จะสนับสนุนธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ของแบรนด์หรือองค์กรต่างๆ  ทั้งนักลงทุน พนักงาน ลูกค้า รวมทั้งชุมชนที่จะยอมรับให้ธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งที่จะอยู่ร่วมกันได้

ส่วน การตรวจสอบย้อนกลับ(Traceability) มีความสำคัญไม่ต่างกับความโปร่งใส แต่มีบทบาทในฐานะผู้ติดตามการไหลของสินค้าหรือวัตถุดิบได้ตลอดทั้งห่วงโซ่​​ รวมทั้งการตรวจสอบคำกล่าวอ้างของผู้ผลิต โดยเฉพาะประเด็นด้านความยั่งยืน เพื่อให้กระบวนการผลิตเป็นไปตามกรอบของมาตรฐานทั้งด้านจริยธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน เพราะระบบการตรวจสอบย้อนกลับจะ​สามารถทราบถึงที่มา องค์ประกอบ และเส้นทางผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นกำเนิดวัตถุดิบ  ภายใต้การพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น IoT , RFID หรือบล็อกเชน ที่สามารถรวบรวม บันทึก และตรวจสอบในทุกขั้นตอน เพื่อเป็นอีกหนึ่งมาตรการเฝ้าระวังความเสี่ย​งการผลิตที่ไม่เป็นไปตามกรอบของมาตรฐานด้านความยั่งยืน

ขณะที่การขับเคลื่อนในปัจจุบัน เพื่อให้ธุรกิจให้ความสำคัญ หรือสามารถรายงาน Transparency & Traceability ภายในห่วงโซ่ธุรกิจของตัวเองได้ มาจากแรงผลักดันใน 2 ส่วน คือ

1. แรงผลักดันจาก​ผู้บริโภค : โดยเฉพาะหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่มักเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกธุรกิจอย่าง กลุ่มบรรจุภัณฑ์ หรือ CPG (​consumer packaged goods ) เนื่องจากเป็นหนึ่งในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยพบว่า ผู้บริโภคราว 60% มีแนวโน้มที่จะเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนมากกว่า แม้ว่าจะราคาแพงกว่าก็ตาม ส่งผลให้ธุรกิจพยายามพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มีความยั่งยืนหรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งสามารถนำไปรีไซเคิล หรือย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยตามธรรมชาติได้ หรือเป็นวัสดุยั่งยืนที่ลดการปลดปล่อยคาร์บอน ​ซึ่งจำเป็นต้องสามารถรับรองหรือพิสูจน์คำกล่างอ้างเหล่านั้น ด้วยการมี Transparency & Traceability เพื่อป้องกันการถูกกล่าวหาว่าเป็นการ ‘ฟอกเขียว’ (Green Washing) และทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าได้สนับสนุนสินค้าที่มีความยั่งยืนและมีผลดีต่อโลกมากกว่า

2. แรงผลักดันจากอุตสาหกรรม : เพื่อเตรียมพร้อมรับกฎระเบียบที่ถูกยกระดับเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากรัฐบาลทั่วโลกที่เริ่มกำหนดให้ธุรกิจต้องสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานในธุรกิจของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงในระดับประเทศ ​​ภูมิภาค หรือระดับโลก เพื่อให้แน่ใจว่าห่วงโซ่อุปทานปฏิบัติตามจริยธรรม รวมทั้งลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การทำให้ซัพลายเชนมีความโปร่งใส และตรวจสอบได้จึงเป็นอีกหนึ่งวาระสำคัญของธุรกิจทั่วโลก ผ่านการทำงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์และคู่ค้าในธุรกิจ เพื่อสามารถรายงานต่อหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ถึงการปฏิบัติภายใต้มาตรฐานอย่างเคร่งครัด

การให้ความสำคัญต่อ Transparency & Traceability ยังสร้างความแข็งแกร่ง​ให้ธุรกิจใน 4 มิติ​ ต่อไปนี้

1. ความร่วมมือ​​และประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น : ได้รับความร่วมมือซัพพลายเออร์ภายในห่วงโซ่ ในการรายงานและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภายในกระบวนการผลิต หรือระหว่างการจัดซื้อ และสร้างความร่วมมือในการทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิต ​คุณภาพ และการจัดหา รวมไปถึงการพัฒนาหรือ​ฝึกอบรมด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนด

2. เพิ่มความภักดีต่อแบรนด์ : ผล​สำรวจในปี 2020 ของบริษัทด้านการสื่อสาร ‘Zeno’ ​ ระบุว่า ผู้บริโภคมีแนวโน้มไว้วางใจธุรกิจที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจน และเปิดเผยเงื่อนไขการทำงานของซัพพลายเออร์ เพิ่มมากขึ้นถึง 4 เท่า รวมทั้ง​​มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าเป็นครั้งแรกจากบริษัทที่พวกเขาคิดว่ามีจริยธรรมและยั่งยืนมากกว่าบริษัทอื่นๆ อีกด้วย

3. เพิ่มความสามารถในการจัดการความเสี่ยงและความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทาน : ​ธุรกิจ​สามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบ และทุกชิ้นส่วน​ผลิตภัณฑ์ได้ในทุกขั้นตอนการผลิต การจัดเก็บ หรือแม้แต่ในระหว่างการขนส่ง กรณีที่มีปัญหาสามารถตรวจสอบ และแบ่งปันข้อมูล ไปจนถึงการนำไปใช้แก้ปัญหาติดขัดหรือคอขวดในระหว่างการผลิต เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้า รวมทั้งการบริหารจัดการภายในธุรกิจให้ดีขึ้นได้​

4. เคารพต่อข้อกฎหมายสากล : ธุรกิจที่มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบภายในห่วงโซ่ได้อย่างเชิงรุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเครือข่ายธุรกิจกระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งมีหน่วยงานกำกับดูแลในแต่ละประเทศที่แตกต่างกันไป จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการ​บริหารจัดการหรือการใช้ข้อมูลต่างๆ ที่มีความจำเป็นได้อย่าง​สะดวกมากขึ้น