Top StoriesTrending

Decarbonization สร้าง Growth​ ‘บ้านปู เพาเวอร์’ ​​พอร์ต Non-fossil แข็งแกร่ง ดีมานด์-ราคา สหรัฐฯ พุ่งเท่าตัว พร้อมขายโควต้า CEA ในจีนได้แล้ว

'บ้านปู เพาเวอร์' ​ขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทาง Beyond Quality Megawatts ​มุ่งบริหารพอร์ตโฟลิโอให้สมดุลและครอบคลุม​กว่าแค่การขยายกำลังผลิตไฟฟ้า โดยวางแผนเพิ่มกำไรมากกว่า 65% จะมาจาก Non-fossil ภายในปี 2573

แม้ในปี​ที่ผ่านมา ยังต้องเผชิญหลายความท้าทาย แต่ด้วยโครงสร้างทางการเงินที่มีความแข็งแกร่ง ประกอบกับการบริหารความเสี่ยงผ่านการซื้อขายล่วงหน้า  และการบริหารจัดการที่ดี ประกอบกับทิศทางการเติบโตของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดที่ บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ดำเนินธุรกิจอยู่ ยังคงสามารถเติบโตและรักษาการทำกำไรได้เป็นอย่างดี

ส่งผลให้​การดำเนินงานปี 2567 ของ BPP มีรายได้รวมเกือบ 2.6 หมื่นล้านบาท อัตรากำไรในการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราว 7.4 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,746 ล้านบาท  พร้อมรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินไว้ได้เป็นอย่างดี ด้วย​​อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.49 เท่า

คุณอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) สามารถรักษาผลดำเนินงานของโรงไฟฟ้าทุกแห่งได้อย่างมีเสถียรภาพ ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยี​ลดการปล่อย CO2 (Decarbonizatiom) โดยเฉพาะศักยภาพของโรงไฟฟ้าในจีน ที่สามารถลดการปล่อยได้ต่ำจนมีโควต้า​เหลือและสามารถนำมาเพิ่มกระแสเงินสดให้ธุรกิจได้มากขึ้น จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission Allowances: CEAs) เกือบ 90 ล้านบาท

ขณะที่โอกาสในตลาดอเมริกา มาจากดีมานด์ที่เติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในแต่ละปี (CAGR) 15-17%  เพื่อรองรับการขยายตัวทางด้านเทคโนโลยีทั้ง AI , EV ​รวมทั้งการเติบโตของ Data Centers เพื่อรองรับแลนด์สเคปด้านเทคโนโลยี กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดีมานด์การใช้ไฟเติบโตเพิ่มขึ้น​ โดยเฉพาะใน​เท็กซัสที่มีการเติบโตของ Data Centers ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าตัว ขณะที่ภาพรวมการใช้ไฟฟ้าของสหรัฐคาดว่าจะเติบโตขึ้นจาก 86 GW ในปี 2024 ที่ผ่านมา เพิ่มเป็นกว่า 148 GW ภายในปี 2030

“ปีที่ผ่านมาธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ II ในรัฐเท็กซัส สหรัฐฯ สามารถเดินเครื่องเพื่อส่งมอบพลังงานได้ต่อเนื่อง แม้ราคาซื้อขายไฟฟ้าเฉลี่ยลดลงจากอุณหภูมิและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ขณะที่แนวโน้มราคาซื้อขายไฟปีนี้ คาดว่า จะปรับตัวสูงขึ้น​รับ​​เทรนด์เทคโนโลยีพลังงานและดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ​อีกทั้ง BPP มีมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา (Hedging Risk Management) ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงิน (Financial Derivative) สำหรับโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งนี้ ทำให้ช่วยเพิ่มกระแสเงินสดเข้ามาในธุรกิจ ได้กว่า 40% รวมทั้งรายได้จาก CEA ของโรงไฟฟ้าถ่านหินในจีน  นอกจากนี้จะเร่งขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจ​เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) เพื่อสร้างห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการ​โครงการแบตเตอรี่ฟาร์มขนาดใหญ่ (BESS) และการซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) เพื่อสร้างการเติบโตที่เป็น New S-curve ให้ธุรกิจ”

สำหรับไฮไลต์สำคัญของการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย

– ธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy)  

โรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ในสปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย ยังคงเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่  86% และ 90% ตามลำดับ และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมจากจำนวนชั่วโมงการผลิตได้ตามสัญญา

โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (CHP) และโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง (SLG) ในจีน มีการดำเนินงานที่ดีขึ้น จากการบริหารต้นทุนถ่านหินที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถขาย CEAs ได้ในปริมาณ 2.9 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์  สร้างรายได้เพิ่มเติม 90 ล้านบาท  สะท้อนศักยภาพของการขับเคลื่อนนโยบาย Decarbonization

– ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและ​​เกี่ยวเนื่อง (Renewables+)

ขยายการลงทุน แบตเตอรี่ฟาร์ม (BESS) เพิ่มเติมอีก 2 แห่งในญี่ปุ่น ​ได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ​คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2571 ขณะที่โครงการ Iwate Tono กำลังการผลิต 58 เมกะวัตต์-ชั่วโมง มีความคืบหน้า 99% เตรียมเปิด COD ในไตรมาส 2 ปีนี้

เดินหน้า ธุรกิจขายไฟฟ้า Energy Trading ในญี่ปุ่น ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม โดยมีการซื้อขายทั้งหมด 2,816 กิกะวัตต์-ชั่วโมง

บ้านปูเน็กซ์ ซึ่ง BPP ถือหุ้น 50%  ร่วมกับโซลาร์บีเค บริษัทชั้นนำด้านพลังงานสะอาดในเวียดนาม จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อให้บริการโซลาร์รูฟท็อปสำหรับกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมในเวียดนาม ตั้งเป้าเฟสแรก 390 เมกะวัตต์

“BPP ขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทาง Beyond Quality Megawatts โดยมุ่ง​บริหารพอร์ตโฟลิโอให้​สมดุลและครอบคลุมมาก​กว่าการขยายกำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อ​ความยืดหยุ่นพร้อมรองรับ​โอกาสใหม่ในการเติบโต และสามารถสร้างกระแสเงินสดให้ธุรกิจได้อย่างมั่นคงในระยะยาว โดยปัจจุบันพอร์ตหลักยังเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เกือบ 70% ขณะที่โรงไฟฟ้าแก๊สและกลุ่มพลังงานหมุนเวียนและเกี่ยวเนื่อง (Renewable+) อยู่ที่กว่า 30% ​ กระจายอยู่ใน 8 ประเทศทั้งในไทย จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เวียดนาม อินโดนีเซีย และลาว ซึ่ง​​การเปลี่ยนผ่านตามแผน 5 ปี ที่จะเติบโตควบคู่กับการขับเคลื่อนแผน Decarbonization จะทำให้พอร์ตในส่วนของถ่านหินเหลือเพียง 30% ​ส่วนโรงไฟฟ้าแก๊สจะเพิ่ม​เป็น 50% ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Renewable+ จะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ภายใต้งบลงทุนที่วางไว้จนถึงปี  2573​ ​ที่ราว 1 – 1.5 พันล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนส่วนใหญ่  60% สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าแก๊ส และ 40% สำหรับลงทุนในกลุ่ม Renewable+ พร้อมตั้งเป้ากำไรของบริษัทมากกว่า 65% จะต้องมาจากกลุ่มธุรกิจที่ไม่ได้พึ่งพาฟอสซิล ภายใต้ความแข็งแกร่งทางการเงิน ​พร้อมความสำเร็จในการวางโครงสร้างเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน”  คุณอิศรา กล่าวทิ้งท้าย