แม้ในปีที่ผ่านมา ยังต้องเผชิญหลายความท้าทาย แต่ด้วยโครงสร้างทางการเงินที่มีความแข็งแกร่ง ประกอบกับการบริหารความเสี่ยงผ่านการซื้อขายล่วงหน้า และการบริหารจัดการที่ดี ประกอบกับทิศทางการเติบโตของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดที่ บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ดำเนินธุรกิจอยู่ ยังคงสามารถเติบโตและรักษาการทำกำไรได้เป็นอย่างดี
ส่งผลให้การดำเนินงานปี 2567 ของ BPP มีรายได้รวมเกือบ 2.6 หมื่นล้านบาท อัตรากำไรในการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราว 7.4 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,746 ล้านบาท พร้อมรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินไว้ได้เป็นอย่างดี ด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.49 เท่า
คุณอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) สามารถรักษาผลดำเนินงานของโรงไฟฟ้าทุกแห่งได้อย่างมีเสถียรภาพ ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีลดการปล่อย CO2 (Decarbonizatiom) โดยเฉพาะศักยภาพของโรงไฟฟ้าในจีน ที่สามารถลดการปล่อยได้ต่ำจนมีโควต้าเหลือและสามารถนำมาเพิ่มกระแสเงินสดให้ธุรกิจได้มากขึ้น จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission Allowances: CEAs) เกือบ 90 ล้านบาท
ขณะที่โอกาสในตลาดอเมริกา มาจากดีมานด์ที่เติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในแต่ละปี (CAGR) 15-17% เพื่อรองรับการขยายตัวทางด้านเทคโนโลยีทั้ง AI , EV รวมทั้งการเติบโตของ Data Centers เพื่อรองรับแลนด์สเคปด้านเทคโนโลยี กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดีมานด์การใช้ไฟเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเท็กซัสที่มีการเติบโตของ Data Centers ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าตัว ขณะที่ภาพรวมการใช้ไฟฟ้าของสหรัฐคาดว่าจะเติบโตขึ้นจาก 86 GW ในปี 2024 ที่ผ่านมา เพิ่มเป็นกว่า 148 GW ภายในปี 2030
“ปีที่ผ่านมาธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ II ในรัฐเท็กซัส สหรัฐฯ สามารถเดินเครื่องเพื่อส่งมอบพลังงานได้ต่อเนื่อง แม้ราคาซื้อขายไฟฟ้าเฉลี่ยลดลงจากอุณหภูมิและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ขณะที่แนวโน้มราคาซื้อขายไฟปีนี้ คาดว่า จะปรับตัวสูงขึ้นรับเทรนด์เทคโนโลยีพลังงานและดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง BPP มีมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา (Hedging Risk Management) ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงิน (Financial Derivative) สำหรับโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งนี้ ทำให้ช่วยเพิ่มกระแสเงินสดเข้ามาในธุรกิจ ได้กว่า 40% รวมทั้งรายได้จาก CEA ของโรงไฟฟ้าถ่านหินในจีน นอกจากนี้จะเร่งขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (Renewables+) เพื่อสร้างห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มขนาดใหญ่ (BESS) และการซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) เพื่อสร้างการเติบโตที่เป็น New S-curve ให้ธุรกิจ”
สำหรับไฮไลต์สำคัญของการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย
– ธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy)
โรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ในสปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย ยังคงเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ 86% และ 90% ตามลำดับ และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมจากจำนวนชั่วโมงการผลิตได้ตามสัญญา
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (CHP) และโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง (SLG) ในจีน มีการดำเนินงานที่ดีขึ้น จากการบริหารต้นทุนถ่านหินที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถขาย CEAs ได้ในปริมาณ 2.9 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์ สร้างรายได้เพิ่มเติม 90 ล้านบาท สะท้อนศักยภาพของการขับเคลื่อนนโยบาย Decarbonization
– ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและเกี่ยวเนื่อง (Renewables+)
ขยายการลงทุน แบตเตอรี่ฟาร์ม (BESS) เพิ่มเติมอีก 2 แห่งในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์-ชั่วโมง คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2571 ขณะที่โครงการ Iwate Tono กำลังการผลิต 58 เมกะวัตต์-ชั่วโมง มีความคืบหน้า 99% เตรียมเปิด COD ในไตรมาส 2 ปีนี้
เดินหน้า ธุรกิจขายไฟฟ้า Energy Trading ในญี่ปุ่น ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม โดยมีการซื้อขายทั้งหมด 2,816 กิกะวัตต์-ชั่วโมง
บ้านปูเน็กซ์ ซึ่ง BPP ถือหุ้น 50% ร่วมกับโซลาร์บีเค บริษัทชั้นนำด้านพลังงานสะอาดในเวียดนาม จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อให้บริการโซลาร์รูฟท็อปสำหรับกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมในเวียดนาม ตั้งเป้าเฟสแรก 390 เมกะวัตต์
“BPP ขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทาง Beyond Quality Megawatts โดยมุ่งบริหารพอร์ตโฟลิโอให้สมดุลและครอบคลุมมากกว่าการขยายกำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อความยืดหยุ่นพร้อมรองรับโอกาสใหม่ในการเติบโต และสามารถสร้างกระแสเงินสดให้ธุรกิจได้อย่างมั่นคงในระยะยาว โดยปัจจุบันพอร์ตหลักยังเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เกือบ 70% ขณะที่โรงไฟฟ้าแก๊สและกลุ่มพลังงานหมุนเวียนและเกี่ยวเนื่อง (Renewable+) อยู่ที่กว่า 30% กระจายอยู่ใน 8 ประเทศทั้งในไทย จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เวียดนาม อินโดนีเซีย และลาว ซึ่งการเปลี่ยนผ่านตามแผน 5 ปี ที่จะเติบโตควบคู่กับการขับเคลื่อนแผน Decarbonization จะทำให้พอร์ตในส่วนของถ่านหินเหลือเพียง 30% ส่วนโรงไฟฟ้าแก๊สจะเพิ่มเป็น 50% ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Renewable+ จะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ภายใต้งบลงทุนที่วางไว้จนถึงปี 2573 ที่ราว 1 – 1.5 พันล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนส่วนใหญ่ 60% สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าแก๊ส และ 40% สำหรับลงทุนในกลุ่ม Renewable+ พร้อมตั้งเป้ากำไรของบริษัทมากกว่า 65% จะต้องมาจากกลุ่มธุรกิจที่ไม่ได้พึ่งพาฟอสซิล ภายใต้ความแข็งแกร่งทางการเงิน พร้อมความสำเร็จในการวางโครงสร้างเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน” คุณอิศรา กล่าวทิ้งท้าย