บ้านปู เล็งลงทุนเพิ่มในปี 2568 ที่ราว 500 ล้านเหรียญสหรัฐ จากงบลงทุนทั้งหมดของแผน 5 ปี ที่ตั้งไว้กว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อผลักดันกำไรจากพอร์ตธุรกิจพลังงานที่หลากหลายได้เพิ่มขึ้นกว่า 1.5 เท่า พร้อมเพิ่มสัดส่วนกลุ่มธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต และลดสัดส่วนจากธุรกิจถ่านหินให้เหลือต่ำกว่า 50%
คุณสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางการเติบโตของบ้านปูในอนาคต ตามกลยุทธ์ ‘Energy Symphonics in Action’ เพื่อมุ่งเน้นสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งให้ธุรกิจ โดยเฉพาะการลดต้นทุนการดำเนินงาน รวมทั้งเน้นลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสเติบโตในธุรกิจพลังงาน รวมทั้งสามารถช่วยสร้างกระแสเงินสดเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานสะอาด เพื่อรองรับนโยบายการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานตามเทรนด์โลก รวมทั้งช่วยบรรลุแผนด้านการลดคาร์บอนในการดำเนินธุรกิจ ได้ 20% ภายในปี 2030 พร้อมบรรลุ Net Zero ในปี 2050
“บ้านปูวาง 4 แนวทางในการขับเคลื่อนธุรกิจ ตามกลยุทธ์ Energy Symphonics ประกอบด้วย 1. Operation & Cost Excellence : การดำเนินงานและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ช่วยเพิ่มกระแสเงินสดและมูลค่าของธุรกิจ เช่น การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI และการลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง 2. Rebalance Capital Struction: การบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรักษาระดับหนี้และทุนให้อยู่ในระดับเหมาะสมกับการเติบโตและผลประกอบการที่ดี 3. Portfolio Optimization : การบริหารพอร์ตโฟลิโอเชิงกลยุทธ์ โดยเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่จะมาสร้างคุณค่าให้บริษัทฯ ในระยะยาว เช่น การสร้างการเติบโตของธุรกิจที่ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าของก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ และ 4. Focused Capital Allocation : การบริหารจัดสรรเงินทุนอย่างมีวินัย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ และผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น”
ทั้งนี้ บ้านปู วางเป้าหมายเติบโตจากโอกาสที่เกิดขึ้นของการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด ทั้งในกลุ่มธุรกิจแก๊ส พลังงาน และเทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอน (CCUS), กลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทน รวมทั้งแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (BESS) ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่รองรับในซัพพลายเชนของกลุ่มพลังงานหมุนเวียน , กลุ่มธุรกิจเหมือง ที่เป็น Next-Gen Mining โดยเฉพาะในกลุ่มแร่สำคัญ เพื่อมาทดแทนเหมืองถ่านหินที่จะไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต เช่น นิกเกิล ซึ่งเป็นแร่โลหะสำคัญต่อธุรกิจ EV ในอนาคต รวมทั้งโอกาสจากการขับเคลื่อนสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ที่เป็นนโยบายสำคัญของธุรกิจในอนาคตนับจากนี้ ที่ต้องมีแผนลดคาร์บอน หรือ Decarbonization รวมทั้งการวางเป้าหมายสู่การเป็น Net Zero ในอนาคต
คุณสินนท์ กล่าวต่อว่า บ้านปูวางแผนลงทุนสำหรับการเติบโตตามเป้าหมายในช่วง 5-6 ปี จากนี้ ภายใต้งบ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นงบสำหรับปี 2568 ราว 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อการลงทุนใน 3 กลุ่มธุรกิจแฟลกชิพ แบ่งเป็น 60% สำหรับ กลุ่มธุรกิจแก๊ส โรงไฟฟ้า และ CCUS , 20% ในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน และแบตเตอรี่ รวมทั้งอีก 20% ในกลุ่มธุรกิจเหมือง ที่เป็น Next-Gen Mining โดยจากนี้จะไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มธุรกิจถ่านหินอีกต่อไป
ขณะเดียวกัน จะหาโอกาสเพิ่มเติมสำหรับการควบรวมธุรกิจกับพาร์ทเนอร์ในอนาคต ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยง และการบริหารจัดการต้นทุน พร้อมทั้งลดต้นทุนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานในแต่ละกลุ่มธุรกิจ เพื่อปรับฐานธุรกิจให้แข็งแรงเพิ่มมากขึ้น เพื่อศักยภาพในการทำกำไร และผลประกอบการที่เติบโตเพิ่มมากขึ้นได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับ ผลประกอบการของบ้านปู ในปี 2567 ที่ผ่านมา มีรายได้จากการขายรวม 5,148 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1.8 แสนล้านบาท โดยเป็นกำไรเบื้องต้น (EBITDA) ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคารวม 1,330 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ผลกำไรจากการดำเนินงานรวม 83.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 3 พันล้านบาท แต่จากผลกระทบด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาท รวมทั้งการด้อยค่าเงินลงทุนจากการขายสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้านาโกโซ ในประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิ 23.67 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 680 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีไฮไลท์สำคัญภายในกลุ่มธุรกิจบ้านปูทั่วโลก ในปี 2567 ที่ผ่านมา อาทิ การเสนอขายหุ้น IPO ของ BKV Corporation (BKV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปูในสหรัฐฯ ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) การขายสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้านาโกโซ ในประเทศญี่ปุ่น การได้รับเงินสนับสนุน (Subsidy) จากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ในการพัฒนาโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มแห่งใหม่ 2 โครงการ ในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์ชั่วโมง ที่คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 2/2571 และการพัฒนาโครงการ CCUS ของ BKV ที่ชื่อว่าโครงการ Eagle Ford (อีเกิ้ล ฟอร์ด) ซึ่งคาดว่าจะสามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 90,000 ตันต่อปี และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างสมบูรณ์ในไตรมาส 1/2569
“บ้านปู ยังคง Commited นโนบายขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทาง Decarbonization เนื่องจาก ธุรกิจพลังงานถือเป็นกลุ่มต้นน้ำของอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยยังรักษาเป้าหมายเป็น Net Zero ภายในปี 2050 รวมทั้งการลงทุนเพื่อเติบโตในฟากพลังงานแห่งอนาคต เพื่อ เพิ่มกำไรให้เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 1.5 เท่าตัว หรือเพิ่มมากกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกำไรที่เกิดขึ้นในอนาคตจะมาจากการเปลี่ยนผ่านในพอร์ตพลังงานให้สอดคล้องกับทิศทางของโลก ทำให้คาดว่าภายในปี 2030 กำไรในธุรกิจของบ้านปู จะมาจากกลุ่มธุรกิจถ่านหินไม่ถึง 50%“ คุณสินนท์ กล่าวทิ้งท้าย