ปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญผลกระทบสิ่งแวดล้อมมากมาย จากการเปลี่ยนแปลงและแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งหลายปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลายประเด็นที่ภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อม ระดมความเห็น ออกนโยบายต่างๆ เพื่อเร่งดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชน ที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อม ได้ถอดบทเรียนสรุปสถานการณ์สิ่งแวดล้อมไทยและสิ่งแวดล้อมโลกตลอดปี 2567 พร้อมคาดการณ์สถานการณ์ปี 2568 ไว้ต่อไปนี้
– ปัญหากับมลพิษทางอากาศ จากฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว (PM2.5) ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่มาจากการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ทั้งบนเนินเขา ในพื้นที่ป่า และการเผาของประเทศเพื่อนบ้าน ที่ทำให้เกิดหมอกควันข้ามพรมแดน ในพื้นที่ภาคกลางก็เกิดปัญหาจากการเผาพื้นที่โล่ง มลพิษจากโรงงาน และในกรุงเทพมหานครส่วนมากจากมลพิษทางการจราจร ที่มีผู้ใช้ยานพาหะเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการปล่อยควันรถบนท้องถนน และการเผาในพื้นที่เกษตรในบริเวณชานเมืองและจังหวัดใกล้เคียง ประกอบกับสภาพอุตุนิยมวิทยาที่มีลักษณะอากาศนิ่ง และไม่เอื้ออำนวยต่อการกระจายตัวของอากาศ
– ปัญหาด้านมลพิษจากขยะชุมชน โดยก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ประเทศไทยมีขยะประมาณ 24 -25 ล้านตันต่อปี ขณะที่ในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 70% โดยพบปัญหาขยะเพิ่มขึ้นถึง 28- 29 ล้านตันต่อปี หากการบริหารจัดการขยะบนฝั่งไม่ถูกต้อง จะมีขยะไหลลงแหล่งน้ำ ทะเลและเป็นปัญหาสะสม โดยเฉพาะปัญหาขยะพลาสติกที่สะสมในห่วงโซ่อาหาร และกลับเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งในปี 2568 นี้ จะมีกติกาโลกเกี่ยวข้องกับการจัดการขยะพลาสติกออกมาควบคุม ทำให้ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อม
– ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงและแปรปรวนของสภาพอากาศ ทำให้เกิดความแห้งแล้งในช่วงต้นปี และน้ำท่วมช่วงปลายปีในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย และพื้นที่ภาคใต้ วิกฤตที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นทั้งความถี่ และความรุนแรง โดยน้ำท่วมที่เชียงรายได้นำพาตะกอนมาจำนวนมาก ทำให้ต้องใช้ทรัพยากรและงบประมาณในการฟื้นฟูจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นได้ว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
สำหรับปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกที่ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง สามารถแยกได้เป็น 3 ประเด็นสำคัญ ในเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และ ปัญหาภาวะมลพิษ
– การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change ปัจจุบันพบว่าอุณหภูมิสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา โดยตามความตกลงปารีสเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ที่มีเป้าหมายหลักในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนปฎิวัติอุตสาหกรรม โดยสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เกิดผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ทั้งน้ำแข็งขั้วโลกละลายส่งผลสู่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และในอนาคตอาจเกิดเป็นวิกฤตต่างๆ ที่ตามมาได้ รวมถึงยังมีผลกระทบต่อการแปรปรวนสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว อย่าง เอลนีโญ หรือลานีญา เป็นต้น
– ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้น โดยเปรียบเทียบกับช่วงก่อนพัฒนาอุตสาหกรรม ประมาณ 280 ppm ซึ่งตอนนี้พบในปริมาณ 420 ppm ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก สำหรับประเทศไทยพบว่าปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ถึง 1% ของทั่วโลก แต่กลับอยู่ในอันดับ 9 ของโลกที่จะได้รับผลกระทบเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งหมดนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญไทยให้ความสําคัญในการจัดการเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
– อุณหภูมิของทะเลและมหาสมุทรสูงขึ้น จากปัญหาโลกร้อน ส่งผลให้มหาสมุทรดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และทำให้ความเป็นกรดสูงขึ้น ผลกระทบที่เห็นได้ชัด คือ เกิดปะการังฟอกขาว ทั้งฝั่งทะเลอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน รวมถึงในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา พบพะยูนตายไปกว่า 30 ตัว สาเหตุส่วนหนึ่งจากการสูญเสียแหล่งอาหาร คือหญ้าทะเลที่ตายเป็นบริเวณกว้าง ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ทรัพยากรประมง และสัตว์ทะเลหายาก โดยเฉพาะพะยูนที่กินหญ้าทะเลเป็นอาหาร สิ่งนี้จึงเป็นเครื่องสะท้อนถึงความน่ากลัวจากภัยของโลกร้อนที่ส่งผลกระทบมาถึงความสูญเสียความหลากหลายชีวภาพ
ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีความตระหนักและให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยบูรณาการประเด็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในเรื่องการค้าและการลงทุน ทั้งการผลิตและการบริโภคที่ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและใช้พลังงานสะอาด ความตื่นตัวมากขึ้นในปัจจุบัน โดยพบแนวโน้มในการใช้รถ EV และพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งพลังงานทางเลือกอื่นๆ ที่ได้รับความนิยม รวมทั้งการจัดเก็บพลังงานเพื่อให้เกิดความเสถียรมากพอ ซึ่งสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไป คือ ความมั่นคงทางพลังงาน และการรักษาสมดุลด้านสิ่งแวดล้อม
โดยปัจจุบันพลังงานทางเลือกที่หลายประเทศมองเป็นทางออกคือ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) หรือ Small Modular Reactor เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก ซึ่งหลายประเทศ เช่น อังกฤษ และแถบยุโรป เริ่มมีการศึกษาแล้ว ขณะที่ประเทศไทยก็ต้องศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมในหลายมิติ เพื่อให้การวางแผนระยะยาวและให้เกิดการสมดุลทั้งในเรื่องการลดพลังงานจากน้ำมัน แก๊สธรรมชาติ ขณะเดียวกันพลังงานทดแทนก็ต้องเข้ามาช่วยเสริมในสิ่งที่ถูกลดลงไป
นอกจากนี้ ยังเห็นความตื่นตัวเรื่องคาร์บอนเครดิต เพื่อวางกฏระเบียบการซื้อขายที่ชัดเจน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ อยู่ระหว่างการออกระเบียบ เพื่อความชัดเจน รวมทั้งวิธีการซื้อ – ขาย แลกเปลี่ยนอย่างเป็นธรรมทั้งในและต่างประเทศ พร้อมสร้างความรู้ ความเข้าใจเพื่อลดความกังวลต่อกระบวนการฟอกเขียวของผู้ประกอบการ
“สำหรับประเทศไทย วางเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ซึ่งต้องมีการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน เพื่อไปสู่เป้าหมายจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อมาดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ตามยุทธศาสตร์ชาติที่ตั้งเป้ามีพื้นที่สีเขียว 55% ของพื้นที่ประเทศ หากสามารถสร้างได้ทั้งป่าอนุรักษ์ ป่าเศรษฐกิจ และป่าในเมือง จะสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาได้กว่า 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า รวมทั้งนำเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยลดการปลดปล่อย และหากได้รับความร่วมมือกับภาคภาคเอกชนจะสามารถขับเคลื่อนให้ถึงเป้าหมายตามกรอบเวลาได้ เพื่อให้ประเทศไทยมุ่งสู่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ “ ดร.วิจารย์ กล่าวทิ้งท้าย