ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือพันธมิตร เปิดตัวระบบ SET Carbon ยกระดับข้อมูลคาร์บอนของธุรกิจไทย ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความน่าเชื่อถือ พร้อมหนุนเข้าถึงแหล่งทุนสีเขียว

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จับมือพันธมิตร กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และ EXIM BANK เปิดตัวระบบ SET Carbon เครื่องมืออำนวยความสะดวกการบริหารจัดการคาร์บอนฟุตพรินท์สำหรับธุรกิจ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

ระบบ SET Carbon ตอกย้ำบทบาทสำคัญ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนภาคธุรกิจปรับตัวจาก Climate Change ได้เปิดตัวระบบ SET Carbon ในวันที่​ 16 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา เพื่อ​ช่วยธุรกิจลดต้นทุน เพิ่มความน่าเชื่อถือ พร้อมสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนสีเขียว และเตรียมรับมือกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น พร้อมทั้งสามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลภาครัฐ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการรายงาน

ทั้งนี้ แนวโน้มทั่วโลกให้ความสำคัญต่อประเด็น Climate Change เพิ่มมากขึ้น โดยพบข้อมูลความเสียหายจากภัยธรมชาติทั่วโลกในปี 2023 มีมูลค่ามากกว่า 3.13 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดย 80% เกี่ยวข้องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นในปีที่ผ่านมา

รวมทั้งให้ความสำคัญต่อปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือคาร์บอนเครดิตเพิ่มมากขึ้น เช่น กฎระเบียบการค้าที่เข้มงวดมากขึ้นในยุโรป ส่งผลให้ราคาคาร์บอนสูงมากกว่า  80 ยูโรต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2) ซึ่งหากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 2 องศา จะส่งผลกระทบต่อ GDP ทั่วโลกให้ลดลง 4-18% ภายในปี 2050 แตกต่างกันไปตามภูมิภาค และมูลค่า Climate Finance ทั้งจาก Climate Fund และ Green Bond ทั่วโลก  เพิ่มขึ้นเป็น 5.72 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดย 80% เป็นการลงทุนในยุโรป

ขณะที่ Climate Change​ ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านและโอกาสในหลายมิติ อาทิ การบังคับใช้กฏหมายที่ควบคุมมาตรฐานการผลิตสินค้าต่างๆ การลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน หรือพฤติกรรมผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และทิศทางการลงทุนในกลุ่มธุรกิจสีเขียว การลงทุนอย่างยั่งยืน เป็นต้น

คุณอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันภาครัฐและผู้ลงทุนมีความต้องการข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ใน​ปี 2567 มีบริษัทจดทะเบียน​ (บจ.) ไทยประมาณ 30% ที่สามารถเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์พร้อมทวนสอบได้อย่างครบถ้วน ขณะที่ยังมี บจ. อีกจำนวนมากที่ต้องการเครื่องมือช่วยจัดทำรายงานดังกล่าวให้รองรับกับกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนสีเขียว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงพัฒนาระบบ SET Carbon ให้เป็นเครื่องมือจัดการข้อมูลและคำนวณข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยระบบเปิดให้องค์กรธุรกิจใช้งาน 16 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนการจัดการข้อมูลผ่าน SET Carbon ตั้งแต่ต้นทางของข้อมูล ไปจนถึงปลายทางในการนำข้อมูลมาให้พัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อสีเขียว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ บจ. เพื่อลดการรายงานซ้ำซ้อน และเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น

“บทบาทสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ คือ การเป็นศูนย์รวมองค์ความรู้ และทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้และเครื่องมือต่างๆ ได้ง่ายและสะดวกขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์ม SET Carbon เป็นหนึ่งในเครื่องมือปรับตัวในยุค Climate Change ให้สามารถวัดการปลดปล่อยคาร์บอนในธุรกิจซึ่งเป็นสิ่งที่สากลทั่วโลกให้ความสำคัญ พร้อมทั้งเพิ่มความสามารถในการเข้าถึง Green Finance ได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมา มีการสนับสนุนธุรกิจไทยทั้งมิติในการให้ความรู้ ผ่าน ESG ACADEMY , การมีโปรแกรม Climate Action เพื่อช่วยบริษัทต่างๆ ในการปรับตัว,  การพัฒนาเครื่องมือ ระบบ และการเป็นศูนย์กลางด้าน Climate Data เพื่อมีส่วนช่วยผู้ประกอบการในการลดต้นทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะในอนาคตถ้าเริ่มมีการขับเคลื่อนไปสู่ภาคบังคับในการวัด Emision ซึ่งบุคลากรใน Ecosystem ก็อาจจะยังขาดแคลน​อยู่ ดังนั้น การมีแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือให้สามารถวัด และทวนสอบ พร้อมทั้งการเข้าถึงแหล่งทุนไปพร้อมกันจึงมีความสำคัญอย่างมาก”​  

ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เร่งจัดทำร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2567 คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ได้เห็นชอบให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายในเดือนมกราคม 2568 ซึ่งร่างกฎหมายฯ จะเป็นการสร้างสมดุลในมิติการบังคับและการสนับสนุนให้ประเทศเกิดความพร้อมและมีศักยภาพในการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมและเศรษฐกิจแบบคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดยมีกลไกการเงินจากกองทุนสภาพภูมิอากาศ (Climate Fund) ร่วมกับการจัดหมวดหมู่กิจกรรมในภาคเศรษฐกิจที่จะเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงิน (Taxonomy) และกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) เพื่อเร่งการลงทุนและการแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศภายใต้กฎกติกาและกลไกทางการค้าระหว่างประเทศ เพื่อจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

ทั้งนี้ การจัดทำข้อตกลงความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ และกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ ในวันนี้ เป็นการเตรียมความพร้อมในการรองรับและลดภาระในการรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากภาคเอกชน ภายใต้กฎหมายดังกล่าว ซึ่งจะนำไปใช้พิจารณารูปแบบของกระบวนการจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme: ETS) ที่จะเชื่อมกับการส่งเสริมโครงการคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ภายใต้ตลาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ทั้งในด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย และการพัฒนาโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้เกี่ยวข้องในระยะยาวต่อไป

ดร. รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า เครื่องมือทางการเงินเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Finance เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเติบโตได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันโลกยังคงมีความต้องการ Climate Finance อีกมาก EXIM BANK จึงมุ่งดำเนินบทบาท Green Development Bank เร่งเติมเต็ม Climate Finance ในประเทศไทย ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว ให้ความสำคัญกับการรายงานข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์โดยสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และมาตรฐานสากล ยกระดับความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับโครงการหรือกิจการที่มุ่งสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในการนี้ ทุกภาคส่วนต้องบริหารจัดการข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ภายในองค์กรและบูรณาการข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของคู่ค้า ลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่คุณค่า ทั้งนี้ เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว EXIM BANK พร้อมให้การสนับสนุนทางการเงิน เพื่อแบ่งเบาภาระและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเงินทุนหมุนเวียน อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้นเพียง 1.99% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยตลอด 3 ปี 4.99% ต่อปี)

ความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และ EXIM Bank จะสร้างระบบนิเวศข้อมูลด้านความยั่งยืนที่ครบวงจร ช่วยให้ธุรกิจไทยเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนได้สะดวกและคล่องตัวมากขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในการพัฒนากลไกสนับสนุนธุรกิจให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนได้ในตลาดโลก

บจ. ที่สนใจใช้งานระบบ SET Carbon สามารถศึกษารายละเอียดที่ www.setlink.set.or.th หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายพัฒนาบริการด้านความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โทร 0 2009 9897 หรือ 0 2009 9868

Stay Connected
Latest News

CPAC ร่วมกับ SUPALAI ขึ้นแท่น No.1 ผู้นำนวัตกรรมก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม ด้วยคอนกรีตกำลังอัดสูง CPAC แข็งแรง-ทนทาน ลดคาร์บอนฯ สูงสุด สู่มาตรฐานใหม่เพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน