ปัจจุบันภาคการเกษตรไทยมีแนวโน้มขยายตัวประมาณ 0.2% และคาดว่าในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นได้ 3% จากการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยยกระดับสินค้าเกษตร การบริหารจัดการน้ำ และการเพิ่มช่องทางให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ จากข้อมูลเพื่อการวางแผนมากขึ้น สะท้อนความสามารถในการปรับตัวของเกษตรกร แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาพอากาศแปรปรวนและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาคการเกษตรฺมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจาก ประเทศไทยมีพื้นที่เกษตรกรรมกว่า 46% ของพื้นที่ทั้งหมด อีกทั้งเป็นแหล่งจ้างงานกว่า 51% ของจำนวนแรงงานทั้งหมดในประเทศ ขณะที่มีสัดส่วน GDP จากภาคเกษตรที่ราว 8-9% การผลักดันภาคการเกษตรของไทยไปสู่การเป็นภาคการเกษตรมูลค่าสูง ด้วยการยกระดับทั้งเทคโนโลยีและการพัฒนาการทำเกษตรด้วย AgriTech เพื่อตอบโจทย์ประสิทธิภาพได้ทั้งเรื่องต้นทุน ผลตอบแทน การอำนวยความสะดวก รวมทั้งระยะเวลาในการเพาะปลูก จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากเช่นกัน
คุณวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า สยามคูโบต้าพร้อมขับเคลื่อนโยบายของประเทศที่กำลังผลักดันให้ภาคการเกษตรไทยเดินหน้าไปสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ (Smart Farming) โดยคำนึงถึง Value Chain หรือห่วงโซ่คุณค่าของผลผลิตทางการเกษตรตลอดทั้งกระบวนการ ภายใต้แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ทิศทางที่จะขับเคลื่นไปสู่อนาตค ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ตลอดจนการสนับสนุนการลงทุนที่ตอบโจทย์การทำเกษตรในอนาคต ที่ต้องการความแม่นยำและการให้ผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของคูโบต้า ที่ต้องเป็นได้มากกว่าแค่เครื่องมือหรือเครื่องจักรทางการเกษตรแบบเดิมๆ มาสู่การเป็น Service Provider ที่ต้องมีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวรต์ เพื่อตอบโจทย์การทำเกษตรยุคใหม่ที่ต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุน ผลผลิต ระยะเวลา ไปจนถึงผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนของโลก
ทั้งนี้ เกษตรกรไทยจำเป็นต้องปรับตัวในการเรียนรู้ Agtech หรือ Agriculture Technology ซึ่งจะกลายเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรกรรมทั่วโลก ซึ่งคูโบต้าในฐานะแบรนด์ผู้นำด้านเครื่องจักรกลการเกษตรและนวัตกรรมเกษตร มุ่งส่งเสริมศักยภาพของเกษตรกรทั่วโลกให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งในประเทศไทยที่ทำตลาดมากว่า 46 ปี พร้อมมุ่งมั่นเคียงข้างเกษตรกรไทย ในการก้าวข้ามความท้าทายและพร้อมเรียนรู้การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างโอกาสใหม่เพื่อคุณภาพชีวิตของเกษตรกรที่ดีขึ้นกว่าเดิม
“สยามคูโบต้า มุ่งมั่นเสริมศักยภาพเกษตรไทยในการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโดยพัฒนาทั้งเครื่องมือ พร้อมนวัตกรรมซอฟต์แวร์อย่าง KIS (Kubota Intelligence System) เพื่อช่วยให้ทำการเกษตรได้อย่างแม่นำและเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาศัยการทำงานร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูล หรือสามารถเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี Field Corp Management ต่างๆ ได้ในอนาคต ทั้งการคำนวณวิเคราะห์สภาพดิน หรือการบริหารจัดการการเพาะปลูกต่างๆ เนื่องจาก การทำงานใกล้ชิดกับเกษตรกรไทยมาเป็นเวลานาน ทำให้ทราบว่าการมีเพียงเครื่องมือไม่ได้ช่วยเกษตรกรแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่ต้องมีองค์ความรู้ และมีการวางแผนการจัดการ รวมทั้งความเข้าใจเรื่องของเทคโนโลยีซึ่งจะเข้ามามีบทบาทต่อการทำเกษตรในอนาคตเพิ่มมากขึ้น คูโบต้าจึงให้ความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเครื่องจักรการเกษตร ตลอดจนองค์ความรู้และโซลูชันทางด้านการเกษตรอย่างครอบคลุมทุกมิติมากกว่า 70 โซลูชัน เพื่อช่วยวางแผนการทำเกษตร ทั้งลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต สร้างความยั่งยืนทางอาชีพของเกษตรกร และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในภาคการเกษตรของไทย โดยฉพาะกลุ่ม Smart Farmer กว่าหนึ่งล้านคนทั่วประเทศที่จะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาภาคการเกษตรของไทยให้สามารถแข่งขันได้ ”
นอกจากนี้ ยังได้พัฒนา ‘คูโบต้าฟาร์ม’ บนพื้นที่กว่า 220 ไร่ ในอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เพื่อให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ด้านนวัตกรรมการเกษตรของประเทศไทย ทั้งการเป็นพื้นที่แห่งการทดลอง การเรียนรู้ และรวบรวม Best Practice ต่างๆ ที่ทำให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนวัตกรรม AgriTech ต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง ผ่านการแบ่งพื้นที่เป็นโซนต่างๆ ไว้รวมทั้งสิ้น 10 โซน ภายใต้ความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การวิจัยและพัฒนาสำหรับ เกษตรกร หน่วยงานต่างๆ และผู้สนใจในการทำเกษตรทั้งไทยและต่างประเทศ โดยเริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2562 และตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มีเกษตรกรและผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมในศูนย์เรียนรู้แห่งนี้แล้ว ไม่ต่ำกว่า 70,000 คน
นอกจากนี้ ได้ว่งแผนพัฒนาคูโบต้าฟาร์มในปี 2568 นี้ มีแผนยกระดับให้เป็น ผู้นำด้านการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน ต่อยอดสู่การสร้างฟาร์มโมเดลเพื่อเป็นแบบอย่างในการพัฒนาภาคการเกษตรในอนาคต (ASEAN’s Leading Sustainability Development Agriculture Farm Model) พร้อมยกระดับประสิทธิภาพการทำฟาร์มด้วยเกษตรครบวงจร KUBOTA (Agri) Solutions หรือ KAS ที่มุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิต และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Shaping the Agri-future to elevate farming efficiency by KAS) โดยตั้งเป้า ก้าวข้ามการสาธิตแบบเดิม มาสู่การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง โดยเพิ่มความเข้มข้นจากรูปแบบองการเวิร์กช้อปในปีก่อนหน้า เพื่อให้เกษตรกรสามารถเรียนรู้และนำความรู้ไปปรับใช้ในฟาร์มของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยังเตรียมขยายอาคารแสดงเทคโนโลยีนวัตกรรมการเกษตร ได้แก่ อาคารแกลเลอรีเกษตรทฤษฎีใหม่ และ อาคารแกลเลอรีเกษตรสมัยใหม่พืชไร่ เพื่อรองรับกลุ่มผู้เข้าชมจากกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องด้านการเกษตร รวมไปถึงหน่วยงานการศึกษา และกลุ่ม Smart Farmer ที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผนในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2568
ล่าสุด คูโบต้าฟาร์มต่อยอดการแลกเปลี่ยนและส่งต่อองค์ความรู้นวัตกรรมทางการเกษตร ผ่านกิจกรรม KUBOTA FARM Agtech Possibility ภายใต้คอนเซ็ปต์ Sustainable AgreenCULTURE ร่วมพลิกโฉมเกษตรกรรมสู่ความยั่งยืน พร้อมโชว์เคสความรู้และนวัตกรรมการเกษตรในแบบสามารถจับต้องได้ พร้อมประสิทธิภาพเครื่องมือการเกษตรที่ตอบโจทย์ Smart Farmer สำหรับการทำการเกษตรในยุคดิจิทัล ซึ่งได้จัดงานในช่วง 20 – 22 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ผ่านเวิร์กช้อปเข้มข้นตลอด 3 วัน เพื่อแสดงการนำเสนอวิธีคิดค้น พัฒนา และออกแบบ เพื่อพัฒนาโซลูชันภาคการเกษตรผ่าน KUBOTA (Agri) Solutions หรือ KAS เกษตรครบวงจร ให้เกิดเป็นรูปธรรม และเห็นถึงความรุดหน้าของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะมาพลิกโฉมให้ภาคการเกษตรวันนี้เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น การทำเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์ การปลูกข้าวยุคใหม่ที่ใส่ใจคุณภาพ รวมท้ังการปลูกพืชไร่ พืชเศรษฐกิจต่างๆ ของประเทศไทยได้ตามแบบฉบับของมืออาชีพ เป็นต้น รวมทั้งการเติมเต็มองค์ความรู้จากภาควิชาการ พร้อมฟอรัมสัมมนา แชร์ต้นแบบความสำเร็จเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรยุคใหม่ในการทำการเกษตรแบบยั่งยืน
“สยามคูโบต้ามุ่งหวังให้ คูโบต้าฟาร์มเป็นพื้นที่เชื่อมโยงระหว่างแบรนด์และลูกค้าให้เกิดประสบการณ์และความผูกพันระหว่างกัน ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้ทุกคนเห็นวิธีการทำเกษตรยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ด้วยแนวทางการดำเนินธุรกิจของเราที่พร้อมโอบอุ้มสังคม สิ่งแวดล้อม และโลกให้เติบโตไปด้วยกัน” คุณวราภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย