ทำความเข้าใจ ‘ALPHA – BETA’ สองเจนเนอเรชั่นล่าสุดของโลก กับการขับเคลื่อนโลกแห่งเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และความเท่าเทียม

ตั้งแต่ปีหน้า หรือปี 2025 เป็นต้นไป จะเริ่มมีกลุ่มเจนเนอเรชันใหม่​ของโลกอย่าง ‘เบต้า’ (BETA) ถือกำเนิดขึ้น​ โดย​เจนเนเรชั่นเบต้าคือกลุ่มประชากรใหม่ ที่จะเกิด​ขึ้นในช่วงปี 2025 – 2039 เป็น The Next Generation ต่อจากประชากร​เจนล่าสุดที่มีอยู่ในโลกใบนี้อย่าง ‘อัลฟา’ (ALPHA) ที่เกิดระหว่างปี 2010 -2024

รายงาน เจาะเทรนด์โลก โดย TCDC ในหมวด Generation Focus ระบุว่า ปีนี้ประชากรกลุ่มอัลฟาจะมีจำนวน 2.2 พันล้านคน และ​เป็นเจนที่มีจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ ขณะที่ภายในปี 2030 เจนอัลฟารุ่นแรกจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ หรือมีอายุ 20 ปี​ และก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยคาดการไว้ว่า 65% ของอัลฟาจะทำงานในตำแหน่งที่ไม่มีอยู่ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ​​จะมีเพียง 50% ที่​สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่อาจหันไปทำงานสายอาชีพเพื่อสร้างความมั่นคงในสายงานซึ่งไม่สามารถทดแทนได้ด้วยเทคโนโลยี เป็นโอกาสของแบรนด์ที่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถผ่านโปรแกรมการฝึกงาน หรือโครงการวิจัยและพัฒนา เพื่อช่วยให้เจนอัลฟาได้สร้างทักษะใหม่ๆ สนับสนุนความมั่นใจ และเพิ่มโอกาสในการทำงานได้

ส่วนอาชีพที่คนวัยนี้ชื่นชอบอยู่ในกลุ่มคอนเทนต์ครีเอเตอร์ เนื่องจากโตมากับสื่อดิจิทัลและความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างไม่จำกัด สะท้อนผ่านผลสำรวจ​ในสหรัฐอเมริกา ที่พบว่าตัวเลือกอาชีพที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเจนอัลฟา คือติ๊กต็อกเกอร์ ยูทูปเบอร์ หรือวล็อกเกอร์ ​คู่​กับการให้ความสำคัญเรื่องการดูแลโซเชียลมีเดีย เพื่อปกป้อง และพัฒนาพื้นที่ออนไลน์ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับครีเอเตอร์รุ่นเล็ก

เจนเนเรชันนี้ยังให้ความสำคัญต่อความท้าทายด้านสภาพอากาศมากขึ้น เนื่องจากเติบโตขึ้นมาท่ามกลางภาวะฉุกเฉินด้านสภาพอากาศ และพบเจอ​เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วจนกลายเป็นเรื่องปกติ ทำให้กลุ่มอัลฟา​ตระหนักถึงปัญหาวิกฤตสภาพอากาศมากขึ้น ธุรกิจต่างๆ จึงควรส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ ทั้งทรัพยากร ผลิตภัณฑ์ และประสบการณ์ที่เหมาะสมกับช่วงวัย รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพและธรรมชาติ เช่น การร่วมมือกับองค์กรการกุศลด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสนับสนุนการศึกษาด้วยตนเอง และจัดกิจกรรมสะท้อนความคิดที่ส่งเสริมให้เจนอัลฟาพัฒนาความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เจนอัลฟายังเป็นผู้ขับเคลื่อนธุรกิจและอุตสาหกรรม​ด้านสุขภาพ โดยเลือกประกอบอาชีพที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี จากการที่​เติบโตมากับการตระหนักถึงผลเสียของโลกแห่งความรีบเร่ง​และสภาพแวดล้อมที่เคร่งเครียด ​ธุรกิจต่างๆ ​จึงจำเป็นต้องเริ่มจ้างงานและตำแหน่งที่เน้นเรื่องความเป็นอยู่และความสุขของพนักงานเป็นสำคัญ

​อีกมุมหนึ่ง เจนอัลฟายังถูกนิยามว่า เป็นเจนเนเรชันแห่งการถดถอย (The Regression Generation) จากอัตราการอ่านออกเขียนได้ที่ลดลง โดย​ในปี 2023 พบว่า มีเพียง 28% ของเด็กอายุ 8-18 ปีเท่านั้น ที่อ่านหนังสือทุกวัน แบรนด์และครอบครัวจึงจำเป็นที่ต้องร่วมสร้างแหล่งข้อมูลการอ่านเพื่อช่วยลดช่องว่างทางการเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น

Gen Beta เจนแห่งความเท่าเทียมไม่แบ่งแยก

ด้านเจนเนอเรชั่นเบต้า คือกลุ่มประชากรใหม่ ในช่วงระหว่างปี 2025 – 2039  ที่จะรับช่วงต่อโลกในยุคที่​​เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและบรรทัดฐานทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้คนกลุ่มนี้จะมีความแตกต่างไปจากคนรุ่นก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการโต้ตอบกับเทคโนโลยี การจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม และมุมมองที่ไม่แบ่งแยกอย่างชัดเจน

เบต้าจัดเป็นกลุ่ม ​AI First ให้ความสำคัญกับ AI  เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่กำหนดรูปแบบการใช้ชีวิตการเรียนรู้ การเล่น และการทำงานและเต็มไปด้วย​พลัง​แห่งการเปลี่ยนแปลง เพราะเกิดมาพร้อม​เครื่องมือและแนวทาง​การจัดการกับความซับซ้อนของโลกที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว

คุณลักษณะเฉพาะของเจนนี้ จะเข้ามากำหนดมาตรฐานใหม่ในการใช้เทคโนโลยี ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ทัศนคติที่ไม่แบ่งแยก การศึกษารูปแบบใหม่ รวมถึงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี​และยืนยาวมากขึ้น โดยจะเป็นกลุ่มที่มี Digital Literacy มากขึ้น ​ตระหนักถึงภัยคุกคามที่เกิดจากการเข้าถึงโลกออนไลน์ เนื่องจากผู้ปกครองเข้าใจ​​ความเสี่ยงของ Digital Footprint เป็นอย่างดี​ จึงปกป้องลูกในเจนเบตาอย่างเต็มที่ เมื่อการรับรู้นี้เป็นที่เข้าใจในวงกว้างมากขึ้นแพลตฟอร์มต่างๆก็จะจะยิ่งมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้ที่สำคัญ

ทั้งนี้ ภายในปี 2050 เมื่อเจนเบต้ารุ่นแรกกำลังเข้าสู่วัย 25 ปี มีการคาดว่า​​​​ 68% ของผู้คนทั่วไปจะอาศัยอยู่ในเขตเมือง ดังนั้น เมืองต่างๆจะต้องได้รับการออกแบบใหม่และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเท่าเทียมและการไม่แบ่งแยกความแตกต่าง ทั้งภูมิหลังหรือ​ข้อจำกัด​ด้านร่างกาย​ผู้อยู่อาศัย เนื่องจากปี 2050 จะมีผู้พิการจำนวน 91.4 ล้านคน

เจนเบต้ามีแนวโน้มที่จะรับช่วงต่อโลกที่มีความหลากหลายและเชื่อมโยงถึงกันมากกว่าที่เคย ​และยังเป็นกลุ่มที่น่าจะคิดถึงคนทุกกลุ่มได้มากที่สุด ทำให้ความหลากหลายไม่ใช่แค่เรื่องที่ได้รับการยอมรับเท่านั้น แต่กลับได้รับการยกย่องอีกด้วย มีการ​เคารพในความเสมอภาคและความยุติธรรม สะท้อนถึงการเจริญเติบโตของบรรทัดฐานทางสังคม ที่ให้ความสำคัญเรื่องความเห็นอกเห็นใจและความเคารพซึ่งกันและกัน

นอกจากนี้  จากการที่เจนรุ่นพ่อแม่ในกลุ่มเจน Z ​​ที่มักหลบหลีก​จากโลกดิจิทัล โหยหาชีวิตที่ไม่ต้องเชื่อมต่อเข้ากับโลกออนไลน์มากเกินไปและมองว่าชีวิตก่อนยุคดิจิทัล​นั้นมีความสวยงาม ​ส่งผลให้เจนเบตา​มีสไตล์ในการแสวงหาการเชื่อมต่อระหว่างการชีวิตจริง และประสบการณ์ที่จับต้องได้จริงทางกายภาพมากกว่าอีกด้วย

เจนเนอเรชันใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะเข้ามาเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลง เพราะเกิดมาพร้อมเครื่องมือและแนวทางในการจัดการกับความซับซ้อนของโลกได้เป็นอย่างดี​ แม้วันนี้เราอาจจะยังไม่รู้จักคนกลุ่ม​นี้ได้ดีมากพอ แต่สามารถ​คาดการณ์ถึงโลกในอนาคต​ที่​พวกเขาต้องการจะ​สร้างและส่งต่อ ​ดังนั้น การที่แบรนด์หรือธุรกิจ​เข้าใจปัจจัยของคนกลุ่มใหม่ๆ ​จะทำให้มี​ต้นทุนและความพร้อมสำหรับรับมือกั​บผู้บริโภคในอนาคตได้ดีมากยิ่งขึ้น

 

Photo Credit :  รูปภาพ/วิดีโอจาก Number 24 x Shutterstock Thailand พาร์ทเนอร์ชัตเตอร์สต็อกอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย www.number24.co.th (https://number24.co.th/)

Stay Connected
Latest News