เปิดตัว ‘สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ วัน แบงค็อก’ แฟลกชิพสโตร์ สาขา 4 และร้านกาแฟสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

สตาร์บัคส์ ประเทศไทย เปิดตัว ‘สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ วัน แบงค็อก’ แฟลกชิพสโตร์แห่งที่ 4 ในประเทศไทย รวมทั้งยังเป็นร้านกาแฟสีเขียว หรือ  Greener Store ที่ใหญ่ที่สุดในไทย ด้วยพื้นที่ 860 ตารางเมตร ออกแบบเป็น 2 ชั้น  230 ที่นั่ง พร้อม​​มอบประสบการณ์ที่แตกต่างผ่านวัฒนธรรมกาแฟจากภาคเหนือของไทยและศิลปะท้องถิ่น สะท้อนความเชื่อมโยงแก่นแท้ของกาแฟ และชุมชน รวมทั้งความยั่งยืนเข้าด้วยกัน

โดยสาขานี้ได้​ออกแบบตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมตามแนวทางการออกแบบ Greener Store ของสตาร์บัคส์อย่างเคร่งครัด ท้ัง​การอนุรักษ์น้ำ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ​ การลดขยะ และการใช้วัสดุอย่างรับผิดชอบ รวมทั้งยังเป็นสาขาแรกที่มีการติดตั้ง Condiment Bar เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการแยกขยะของลูกค้า พร้อมติดตั้งจุดสำหรับทิ้งเครื่องดื่มที่เหลือ ทิ้งเศษขยะต่างๆ รวมทั้งมีจุดล้างแก้วก่อนทิ้ง เพื่อ​สามารถนำบรรจุภัณฑ์พลาสติกกลับเข้าสู่ระบบรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

คุณเนตรนภา ศรีสมัย กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ปี 2567 สตาร์บัคส์ ประเทศไทย สามารถสร้าง Milestone สำคัญในธุรกิจได้หลายด้าน ทั้งการผลักดันสาขาในประเทศไทยได้ครบ 500 สาขา รวมท้ังการขยายสาขาร้านกาแฟเพื่อชุมชน หรือ ‘Community Store’ แห่งที่ 3 สาขาเดอะ กาดฝรั่ง แม่ริม จ.เชียงใหม่ รวมทั้งการเปิดสาขาล่าสุดอย่าง ‘สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ วัน แบงค็อก’ ซึ่งถือเป็นสาขาที่ 517  และเป็นร้านแฟลกชิพแห่งที่ 4 ในประเทศไทย จากที่ก่อนหน้านี้มีแล้ว 3 แห่งvทั้งสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ สยามสแควร์วัน และไอคอนสยาม

นอกจากนี้ยังเป็น Greener Store ที่ใหญ่ที่สุดในไทย​ จากปัจจุบันมีอยู่ 12 สาขา และตั้งเป้าขยายเพิ่มเติมอีก 8 แห่ง ให้ครบ 20 สาขาภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่เป้าหมายระดับโลกตั้งเป้ารับรอง Greener Stores 10,000 แห่งทั่วโลก ภายในปี 2025 เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การใช้น้ำ และขยะฝังกลบลง 50% ภายในปี 2030

“ความโดดเด่นของสาขาล่าสุดอย่างสตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ วัน แบงค็อก ได้รับการออกแบบในคอนเซ็ปต์ Third Place หรือบ้านหลังที่สามที่ต้อนรับผู้คนหลากหลายให้สามารถมาแลกเปลี่ยนเรื่องราวและผ่อนคลาย พร้อมเพลิดเพลินกับประสบการณ์กาแฟอันน่าประทับใจ  ด้วยการผสมผสานองค์ประกอบทางวัฒนธรรมไทยเข้ากับการออกแบบที่แสดงถึงมรดกทางวัฒนธรรม ​ท่ามกลางฉากหลังที่มีชีวิตชีวาของกรุงเทพฯ รวมถึงเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างสตาร์บัคส์กับชุมชนท้องถิ่น และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อสามารถตอบโจทย์ลูกค้าทั้งการมอบประสบการณ์ที่ดีและตอบโจทย์ความยั่งยืน ซึ่งการขยายสาขา​แฟลกชิพในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงโอกาสที่ยังเปิดกว้างและเติบโตได้เพิ่มมากขึ้นในตลาดกาแฟของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ​​โดยจนถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีจำนวนสาขาสตาร์บัคส์​เพิ่มเป็น 522 สาขา ทั่วประเทศ”​

คุณธนาศักดิ์ กุลรัตนรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย กล่าวถึงเบื้องหลังการออกแบบสตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ วัน แบงค็อก ว่า ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมกาแฟอันหลากหลายทางภาคเหนือของไทย และบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาของทำเลใจกลางเมือง รวมทั้งวิสัยทัศน์ของสตาร์บัคส์ในการเชื่อมต่อผู้คนผ่านกาแฟที่มีคุณภาพท่ามกลางพื้นที่ที่มีความสวยงาม

“สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ วัน แบงค็อก ได้รับการออกแบบ​เพื่อสะท้อนถึงแก่นแท้ของกาแฟ ชุมชน และการเชื่อมต่อมอบประสบการณ์ Third Place ที่แท้จริง การออกแบบภายในร้านทั้งสองชั้นได้รับแรงบันดาลใจจากทิวเขาที่เป็นพื้นที่เพาะปลูกกาแฟในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวเขาที่มีชีวิตชีวา ตามแนวคิดเรือนยอดไม้ใหญ่ หรือ Tree Top Canopy สัญลักษณ์ของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่ใช้ในการเพาะปลูกกาแฟ โดยชั้นแรกของร้านเป็นตัวแทนของต้นกาแฟ ซึ่งอุทิศให้กับการชงและเสิร์ฟกาแฟ ส่วนชั้นบนสะท้อนถึงเรือนยอดไม้ มีพื้นที่นั่งเล่นอันเงียบสงบสำหรับลูกค้า​ ​พร้อมทั้งการใช้เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่สุดพิเศษ Starbucks OVISO™ ที่ออกแบบให้ตัวเครื่องซ่อนอยู่ด้านล่าง ทำให้ลูกค้าและคอฟฟี่มาสเตอร์ได้มีปฏิสัมพันธ์กันได้สะดวกระหว่างชงกาแฟ ช่วยยกระดับประสบการณ์ลูกค้าได้ดีขึ้น รวมทั้งการออกแบบโซนต่างๆ ทั้งบาร์เครื่องดื่มหลัก,​ บาร์สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ, บาร์ทีวาน่า, โซนขนมอบ, บาร์ Mixologist ที่นำเสนอนวัตกรรมและการผสมเครื่องดื่มไว้อย่างเต็มรูปแบบ, โซนห้องประชุม, โซนที่นั่งแบบสเตเดียม และบาร์คอนดิเมนต์ ​พื้นที่รีไซเคิลขยะครบวงจรภายในร้านซึ่งมีที่สาขานี้เป็นแห่งแรกอีกด้วย”​

คุณจุฑาทิพย์ เก่งมานะ ผู้จัดการด้านผลกระทบทางสังคมและความยั่งยืน สตาร์บัคส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ​สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ วัน แบงค็อก​ เป็นร้านที่พิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน เพราะเป็นสาขาแรกที่มี Condiment Bar ช่วย​ส่งเสริพฤติกรรมแยกขยะ​ให้ลูกค้า ทั้งจุดเทเครื่องดื่มที่เหลือทิ้ง จุดล้างแก้ว​ก่อนทิ้งขยะในที่ที่เหมาะสม พร้อมการออกแบบทุกองค์ประกอบตามมาตรฐาน Green Store ของสตาร์บัคส์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่การเลือกโลเกชั่นในการตั้งสาขาที่เหมาะสมในการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะโครงการวัน แบงค็อก ที่ให้ความสำคัญในการบริหารพื้นท่ีและสร้างชุมชนตามแนวทางของความยั่งยืน

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งมีการออกแบบอุปกรณ์ภายในร้านเป็นพิเศษทำให้ช่วยประหยัดน้ำ​เพิ่มขึ้นราว 30%, ​การสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน, การจัดหาวัสดุที่ตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมาใช้ภายในร้าน, การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ของลูกค้าและพาร์ทเนอร์ รวมทั้งใส่ใจชุมชนโดยรอบ และส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการขยะภายในร้าน ทั้งการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการบริหารจัดการอาหารที่เหลือจากการจำหน่ายเพื่อส่งต่อให้ชุมชนใกล้เคียง ซึ่งเชื่อว่าการออกแบบอย่างพิถีพิถันโดยคำนึงถึงความยั่งยืน สะท้อน​ความทุ่มเทของสตาร์บัคส์ต่อแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเชื่อว่าร้านแห่งนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคตที่สำคัญของร้านสตาร์บัคส์ทั่วทั้งประเทศไทย​

“เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ​​เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สตาร์บัคส์ได้เปิดตัว “LITTLE CHOICES. BIG CHANGES.” แคมเปญเพื่อความยั่งยืน เชิญชวนให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการสร้างความยั่งยืน ด้วยการมอบส่วนลด 10 บาทสำหรับลูกค้าที่นำแก้วส่วนตัวมาใช้ที่ร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยเป็นกิจกรรมที่สตาร์บัคส์ทำมาอย่างต่อเนื่องและจนถึงปัจจุบันมีลูกค้านำแก้วส่วนตัวมาใช้แล้วกว่า 1.6 ล้านแก้ว นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการใช้แก้ว For Here สำหรับรับประทานเครื่องดื่มภายในร้าน โดยปัจจุบันมีให้บริการครบทุกสาขาทั่วประเทศแล้ว ซึ่งการตอบรับของลูกค้าดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าใช้แก้ว For Here ที่ราว 20% ของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้าน ขณะที่บางส่วนยังต้องการความสะดวกและสามารถถือแก้วออกไปดื่มนอกร้านได้หากยังรับประทานไม่หมด ซึ่งทางร้านจะพยายามส่งเสริมการรับรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีจำนวนการใช้แก้ว For Here เพิ่มมากขึ้นในอนาคต โดยบาลานซ์ทั้งการมอบประสบการณ์ที่ดีในการให้บริการฐานะ Third Place และการขับเคลื่อนเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนในอนาคต​”​

สตาร์บัคส์ยังมีการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนในมิติอื่นๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ  โดย​มูลนิธิสตาร์บัคส์ (The Starbucks Foundation) ยังได้มอบทุนสนับสนุนโครงการ Global Community Impact Grant มูลค่า 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านบาท ให้กับมูลนิธิพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาชุมชนผู้ปลูกกาแฟในภาคเหนือของประเทศไทย โดยมูลนิธิฯ จะเป็นผู้นำในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านทักษะการดำรงชีวิต สนับสนุนโครงการริเริ่มเพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้านน้ำ สุขาภิบาล และสุขอนามัย รวมถึงโภชนาการ และการจัดหาทรัพยากร เพื่อเชื่อมโยงสมาชิกชุมชนชาวเขากว่า 600 คน ให้ได้รับโอกาสดังกล่าว เพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของสตาร์บัคส์ในการทำประโยชน์ให้กับชุมชนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคที่สตาร์บัคส์ดำเนินธุรกิจอยู่ ​

Stay Connected
Latest News