SCGJWD รุกโลจิสติกส์โซลูชันสำหรับสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Logistics) ทั่วอาเซียน หลังแนวโน้มอุตสาหกรรมเติบโตเพิ่มขึ้น พร้อมลงทุนเพิ่ม 1 พันล้านบาท ขับเคลื่อน 4 กลยุทธ์ ปักหมุดทำเลยุทธศาสตร์โฟกัสตลาดศักยภาพสูง พร้อมพัฒนาเทคโนโลยี AI เพิ่มประสิทธิภาพ และช่วยประหยัดพลังงาน ตอบโจทย์ Green Logistics ช่วยลูกค้าบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน
คุณชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทเอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก ทำให้ความต้องการจัดเก็บและขนส่งอาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานแช่แข็งเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากการบริโภคภายในประเทศและการที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำหรับส่งออก ประกอบกับการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรม New S-curve ต่างๆ เป็นอานิสสงส์ให้ดีมานด์ด้าน Logistics โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการความเชี่ยวชาญและเฉพาะทางในการขนส่งมีการเติบโตในระดับสูง
โดยคาดว่า Cold Chain Logistics ในไทย จะเติบโตเฉลี่ย 8.03% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า (2024-2029) หรือมูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.78 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2029 สอดคล้องกับการเติบโต SCGJWD ในกลุ่ม Cold Chian ที่มีการเติบโตต่อเนื่อง และสร้างสัดส่วนกำไรในสัดส่วน 20% จากกำไรสุทธิทั้งหมดกว่า 678 ล้านบาท ทำให้มีแผนจะลงทุนเพิ่มเติมในปีนี้ 1 พันล้านบาท สำหรับขยายธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น เพื่อรักษาความแข็งแกร่งและผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 12.8% จากเป้าหมายรายได้ 1,100 ล้านบาท จากภาพรวมรายได้ทั้งบริษัทรวมกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 80% หรือกว่า 1 หมื่นล้านบาท มาจากกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชน โดย 28% เป็นรายได้ที่มาจาก Cold Chain Logistics
“การลงทุนเพิ่มเติมเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่ม Cold Chain Logistics ทั้งในประเทศและในอาเซียน ในฐานะผู้ให้บริการห้องเย็นสาธารณะที่มีพื้นที่ให้บริการมากที่สุด 8 โลเคชันครอบคุมทั่วประเทศ รวมกว่า 241,000 พาเลท (แท่นวางสินค้า) ที่ติดตั้งระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ, ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลและใบอนุญาตทุกประเภท เป็นต้น โดยตั้งเป้าผลักดันรายได้ในกลุ่มให้เติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 12.8% ต่อปี จากเป้าหมายรายได้ปี 2025 ที่ 1,100 ล้านบาท จากการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้าได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการผู้ดูแลด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่มีความชำนาญในแต่ละธุรกิจ เช่น กลุ่ม Healthcare อย่างยา และเวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารสัตว์ รวมทั้งสินค้านวัตกรรมต่างๆ เป็นต้น” คุณชวนินทร์ กล่าว
วาง 4 กลยุทธ์ รักษาผู้นำ Cold Chain Logistics
สำหรับการลงทุนกว่า 1 พันล้านบาท ของ SCGJWD ในปีนี้ จะมุ่งใน 4 กลยุทธ์หลัก เพื่อขับเคลื่อนการขยายธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับสินค้าควบคุมอุณหภูมิในประเทศไทยและอาเซียน ได้แก่
– ขยายฮับคลังสินค้าห้องเย็นในจังหวัดภูมิภาค: ลงทุนขยายคลังสินค้าห้องเย็นในจังหวัดยุทธศาสตร์และเชื่อมต่อกับระบบขนส่งหลัก เสริมความสะดวกในการกระจายสินค้า ลดระยะเวลาการขนส่ง และประหยัดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ โดยปัจจุบัน SCGJWD มีคลังสินค้าห้องเย็น 8 แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วย สมุทรสาคร 3 แห่ง สมุทรปราการ 3 แห่ง ฉะเชิงเทรา 1 แห่ง และสระบุรี 1 แห่ง รองรับสินค้ามากกว่า 241,000 พาเลท และจะลงทุนปรับปรุงคลังสินค้าทั่วไปของ SCG Logistics เดิมให้รองรับการจัดเก็บสินค้าแช่เย็นแช่แข็งในจังหวัดหัวเมืองที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอีก 8 แห่ง เช่น ปทุมธานี สระบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต เป็นต้น โดยจะมีพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 24% เป็น 300,000 พาเลทภายในปี 2029
– ขยายธุรกิจในอาเซียน: บริษัทฯ วางแผนสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ โดยขยายการลงทุนและร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในอาเซียน ได้แก่ ความร่วมมือกับ SWIFT ขยายธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในมาเลเซีย รวมทั้งขยายธุรกิจในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ผ่านความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งในแต่ละประเทศและศึกษาโอกาสการทำ M&A
– ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ขยายธุรกิจและออกแบบโลจิสติกส์โซลูชันตามโจทย์ทางธุรกิจของลูกค้า: ภายใต้ความร่วมมือในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่าง SCGJWD และลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เพื่อพัฒนาโซลูชั่นร่วมกัน ถือเป็นการเปลี่ยนจากลูกค้าเป็นพันธมิตร เพื่อสามารถรักษาลูกค้าไว้ได้ในระยะยาว โดยบริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับกลุ่มไทยยูเนี่ยน จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนคลังสินค้าห้องเย็นระบบอัตโนมัติ (ASRS) สำหรับจัดเก็บสินค้าปลาทูน่า ในจังหวัดสมุทรสาคร และร่วมกับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ให้บริการโซลูชันจัดส่งสินค้าเบเกอรี่แก่ร้าน Amazon Café กว่า 500 สาขาทั่วประเทศ โดยใช้นวัตกรรมขนส่งเย็น Cool Container ผ่านเครือข่ายขนส่งของ SCGJWD ที่มีจำนวนฟลีทรถมากที่สุด สามารถขยายพื้นที่จัดส่งได้ครอบคลุมทั่วประเทศและคงคุณภาพสินค้าที่ดีถึงปลายทาง
– ขยายบริการแบบ End-to-End Supply Chain Solution ในธุรกิจเฮลท์แคร์และยา: ด้วยการใช้จุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญบริการ Cold Chain Logistics ซึ่งได้รับรองมาตรฐานระดับสากล ระบบประกันคุณภาพสินค้าตลอดกระบวนการ และบริการเสริม เพื่อขยายบริการภายใต้กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การจับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ และเจาะกลุ่มยาและวัคซีนที่มีอัตรากำไรที่ดี
ขับเคลื่อน Decarbonization ช่วยพันธมิตรลดสโคป 3
คุณบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SCGJWD กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทให้ความสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ลูกค้าพันธมิตรทุกราย จึงเน้นการนำเทคโนโลยี และ AI มาประยุกต์ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพ Cold Chain Logistics ทำให้เพิ่มความแข็งแกร่ง และแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดได้เพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่การเข้าไปมีส่วนช่วยพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อยกระดับการบริหารจัดการคลังสินค้าห้องเย็นให้รวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ ใช้เทคโนโลยีจัดเก็บและจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System: ASRS) ช่วยจัดเก็บสินค้าได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำกว่า 99.9% ปลอดภัยสูง คงความสดใหม่และรักษาคุณภาพของสินค้าได้ดีกว่าเดิม รวมทั้งติดตั้งระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) คัดขนาดปลาทูน่า เพิ่มความแม่นยำได้มากกว่า 95% และจะขยายสู่การคัดแยกสายพันธุ์ปลาในปีหน้า
ขณะที่ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มีการขับเคลื่อนตามแนวทาง Green Logistics เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) ที่คลังสินค้าห้องเย็นทุกแห่ง เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทดแทนการซื้อไฟฟ้า รวมทั้งการเปลี่ยนมาใช้รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าแทนรถน้ำมันเชื้อเพลิง หรือการพัฒนาเทคโนโลยี TMS (Transport Management System) ที่ช่วยเรื่องวางแผนการเส้นทางการขนส่ง รวมทั้งการบริหารจัดการด้านพลังงานเพื่อลดปริมาณการใช้พลังงานโดยรวมให้ลดลง โดยได้ติดตั้ง Business Intellligence (BI) เพื่อติดตามการทำงานและการให้บริการในแต่ละส่วนงานของธุรกิจได้แบบเรียลไทม์ ทั้งภาพรวมด้านโอเปอเรชั่น และการให้บริการ รวมทั้งประเมินความพึงพอใจของลูกค้าในการให้บริการในแต่ละครั้ง เพื่อนำปัญหามาแก้ไขและพัฒนาการให้บริการในครั้งต่อไป
“การพัฒนาด้านเทคโนโลยี และดิจิทัล ทำให้บริษัท และลูกค้าสามารถบริหารจัดการต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในธุรกิจลงได้ ซึ่งตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ทั้งไฟฟ้ารวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงลงได้กว่า 200 ล้านบาท รวมทั้งสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 33,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e)โดยตั้งเป้าเพิ่มการลดคาร์บอนในแต่ละปีให้ได้กว่า 6,000 ตันCO2e เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 6 แสนต้น ช่วยเพิ่มพื้นที่ป่า 2.4 หมื่นไร่ พร้อมตั้งเป้าลดการปลดปล่อยคาร์บอนภายในธุรกิจ (สโคป 1, 2) ลงได้ 10% ในสิ้นปี 2024 นี้ ก่อนจะเพิ่มเป็นการลดคาร์บอนตลอดทั้งซัพพลายเชน (สโคป 1-3) ให้ได้ 30% และ 40% ในปี 2027 และ 2030 ตามลำดับ เพื่อสามารถบรรลุ Net Zer0 ตลอดทั้งซัพพลายเชน ภายในปี 2050 ซึ่งไม่ใช่เพียงการขับเคลื่อนเพื่อลดคาร์บอนของ SCGJWD เท่านั้น แต่การเป็น Green Logistics ยังมีส่วนช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่ตั้งไว้ด้วย เนื่องจาก ธุรกิจโลจิสติกส์ถือเป็นเครือข่ายในสโคปที่ 3 ของทุกอุตสาหกรรม” คุณบรรณ กล่าวทิ้งท้าย