ไบเออร์สด๊อร์ฟ ประเทศไทย ลงทุน ‘โซลาร์ฟาร์ม’ แห่งแรกในนิคมบางพลี ​ใหญ่สุดของฐานผลิตทั่วโลก เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด 25%

ฐานการผลิตไบเออร์สด๊อร์ฟ ประเทศไทย ถือเป็นฐานการผลิตหลัก​​ 1 ใน 5 โรงงานขนาดใหญ่ของไบเออร์สด๊อร์ฟทั่วโลก​ และยังเป็น Hub ใน​การ​ส่งออกไปยัง 40 ประเทศทั่วโลก ภายใต้การบริหาร 15 ไลน์ผลิต 12 ถังผสมวัตถุดิบ และการบริหารจัดการวัตถุดิบและส่วนผสมกว่า 4,000 ประเภท ซึ่งต้องมีความสามาถในการบริหารจัดการในระดับสูง เพื่อสามารถรักษามาตรฐานการผลิตได้ตาม Global Standard ​เพื่อรักษาความเชื่อมั่นในคุณภาพที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้การยอมรับ

นอกจากภารกิจในการผลิตสินค้าคุณภาพเพื่อรักษาความแข็งแกร่งในมิติ Business Performance แล้ว บริษัท ไบเออร์สด๊อร์ฟ ประเทศไทย ยังขับเคลื่อนแนวทางด้าน​ Sustainability ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ ‘Care Beyond Skin’ เพื่อให้ธุรกิจสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งต่อผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อม

คุณวราพร ลิขิตจรรยากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบเออร์สด๊อร์ฟ ประเทศไทย กล่าวถึงความมุ่งมั่นที่ไบเออร์สด๊อร์ฟต้องการบรรลุ เพื่อมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ที่ตั้งเป้ามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน​ในปี 2030 รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction) ตลอดทั้งห่วงโซ่ (Scope 1-3 ) ลงได้ 90% ในปี 2045 โดยวางเข็มไมล์แรกไว้ที่ 30% ภายในปี 2025

ขณะเดียวกันต้องการสร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต ทั้งตัวผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ โดยมุ่งที่การลดใช้พลาสติกใหม่ในการผลิตลงมากกว่า 50% ในปี 2026 การผลิตบรรจุภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิลให้มากกว่า 30% รวมทั้งผลิตบรรจุภัณฑ์ทั้ง 100% ให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ท้ังในรูปแบบการผลิตบรรจุภัณฑ์รีฟิลแบบถุงเติม การนำกลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งผลิตจากวัสดุที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ทั้งหมดภายในปี 2025 รวมทั้งการลดการใช้พลังงานภายในกระบวนการผลิตลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ​ ส่วนมิติทางสังคม จะมุ่งส่งเสริมศักยภาพให้ผู้หญิงผ่านโครงกาาร Empowering Girls Program ไม่ต่ำกว่า 5 แสนคนทั่วโลก​ ภายในปี 2025 เช่นเดียวกัน รวมทั้งส่งเสริมการขับเคลื่อนโครงการเพื่อสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำต่างๆ

“การขับเคลื่อนความยั่งยืนของไบเออร์สด๊อร์ฟ ประเทศไทย ถือว่าเป็นไปตามแผน ทั้งในมิติของการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม รวมท้ัง​มิติสิ่งแวดล้อมที่เห็น​พัฒนาการได้อย่างชัดเจนผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเรื่อง​ โดยผลิตภัณฑ์ของนีเวียทั้ง 100% ปลอดไมโครพลาสติกมาตั้งแต่ปี 2021 และยังไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อปะการัง รวมท้ังแบรนด์เวชสำอางอย่างยูเซรินที่ปลอดไมโครพลาสติกได้ 100% ในปี 2023 เช่นกัน พร้อมพัฒนาการอื่นๆ เช่น ​​เป้าหมายลดใช้ทรัพยากรใหม่ลง 50% เพื่อลดการใช้ Fossil Based ก็สามารถทำได้แล้ว 16% , การเพิ่มวัสดุรีไซเคิลในการผลิตบรรจุภัณฑ์​ได้แล้ว 12%, หรือการทำให้​บรรจุภัณฑ์ทั้งหมด​เป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อม ​รวมทั้งการ​ลดขยะในกระบวนการผลิตให้เป็น Zero Waste to Landfill ​ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ไบเออร์สด๊อร์ฟสามารถ​บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างรวดเร็ว มาจากนโยบายในการ​แยกเป้าหมายด้านการเติบโตทางธุรกิจ และด้านความยั่งยืนแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ทำให้สามารถขับเคลื่อนด้าน Sustainability ได้อย่างอิสระ และไม่กระทบต่อความเสี่ยงหรือความท้าทายทางเศรษฐกิจที่มีอยู่รอบด้าน หากเชื่อมโยงการขับเคลื่อนไว้ด้วยกัน อาจทำให้แผนการขับเคลื่อนความยั่งยืนกระทบได้ หากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่ต้องระมัดระวัง” 

​ทั้งนี้ ไบเออร์สด๊อร์ฟทั่วโลก ได้วางงบประมาณในฟากของการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนในเฟสแรกไว้ราว 300 ล้านยูโร และจะสิ้นสุดในปี 2025 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผนเพื่อพิจารณางบประมาณในเฟสที่ 2 เพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความยั่งยืน รวมทั้งการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ภายในปี 2030 และเร่งแผน Decarbonization เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในลำดับต่อไป

คุณสุเรขา วันเพ็ญ ผู้อำนวยการศูนย์การผลิต บริษัท ไบเออร์สด๊อร์ฟ ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมถึงการยกระดับการใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต ผ่านการลงทุนสร้างโซลาร์ฟาร์ม พื้นที่ 14 ไร่ ​เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานสะอาด ทั้งในกระบวนการผลิตและในส่วนของ Operation ต่าง ในโ​รงงานไบเออร์สด๊อร์ฟ ประเทศไทย (PC Thailand) โดยสามารถผลิตไฟได้​ 999 กิโลวัตต์  ​ซึ่งถือเป็นโซลาร์ฟาร์มแห่งแรก ภายในโรงงานของนิคมอุตสาหกรรมบางพลี รวมทั้งยังเป็นโซลาร์ฟาร์มที่ใหญ่และมีกำลังไฟสูงสุดของไบเออร์สดอร์ฟทั่วโลกด้วย

“หลังการติดตั้งโซลาร์ฟาร์มแล้วเสร็จในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้ PC Thailand สามารถผลิต​ไฟฟ้าพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์มาใช้ได้เพิ่มเป็น ​25% โดย  15% หรือราว 1,434 กิโลวัตต์ มาจากการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในช่วง​การขยายกำลังผลิตของโรงงานเมื่อราว 2 ปีก่อน และ 10% เพิ่มเติมจากการติดตั้งโซลาร์ฟาร์มเพิ่มเติมครั้งล่าสุดนี้ โดยสัดส่วน 25% ของปริมาณไฟฟ้าที่ลดได้ คิดเป็นกำลังไฟกว่า 3.8 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สามารถนำไปชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้วิ่งได้เป็นระยะทางมากกว่า 10 ล้านกิโลเมตร เทียบเป็นปริมาณคาร์บอนที่ลดลงได้กว่า 1,900 ตัน​”

 

กระบวนการผลิตของ PC Thailand ยังลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมในมิติอื่นๆ ทั้งสามารถลดปริมาณขยะในกระบวนการผลิตลงได้มากกว่า 445 ตัน ลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิตลงได้ 57% หรือเกือบ 8 หมื่นลูกบาศก์เมตรต่อปี รวมทั้ง​การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ทั้งจากระบบทำความเย็น ระบบปรับอากาศ หรือหม้อต้ม Boiler ทำให้สามารถลดการใช้พลังงาน​โดยภาพรวมลงได้ 26% ​​

นอกจาก​นี้ ในส่วนของการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ให้มีความเป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อม ทั้งการใช้วัสุดรีไซเคิลในการผลิต​บรรจุภัณฑ์หรือการลดปริมาณลง โดยมีปริมาณการใช้แก้วรีไซเคิลกว่า 1 หมื่นตันต่อปี และ​สามารถลดปริมาณการใช้ลงได้ 2.3 พันตันจากการออกแบบให้มีน้ำหนักเบาขึ้น หรือการ​ใช้พลาสติกรีไซเคิลเพื่อลดปริมาณการใช้พลาสติกใหม่ในการผลิตกว่า 500 ตัน รวมทั้งใช้กระดาษรีไซเคิล​กว่า 1.5 พันตัน ​ซึ่งช่วยลดปริมาณกระดาษลงได้​ 23 ตัน ในส่วนของแหล่งผลิตกระดาษทั้ง 100% ยัง​ผลิตมาจากป่าปลูกทดแทนโดยไม่มีการทำลายป่าไม้ ซึ่งในส่วนของการออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์มีส่วนช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนลงได้กว่า 0.5 ตันคาร์บอนเทียบเท่า

“การจะเดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระยะยาวนั้น จะต้องทำงานร่วมกันกับพันธมิตรที่มีเป้าหมายเดียวกันอย่างเครือข่ายซัพพลายเออร์ รวมถึงการทำให้​ผลิตภัณฑ์ของเรามีความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งจากการเลือกใช้วัตถุดิบ และปรับปรุงขั้นตอนการผลิตให้มีการปลดปล่อยคาร์บอน​น้อยลง เช่น การใช้เส้นทางการจัดส่งที่ใกล้ขึ้นหรือสั้นลง นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลแทนพลาสติกใหม่ (Virgin plastic) ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยลดการปล่อยมลพิษทั้งสิ้น ซึ่งปัจจุบัน PC Thailand ​ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อเพิ่มศักยภาพในการลดคาร์บอนได้มากขึ้น และเชื่อว่าเมื่อแล้วเสร็จจะช่วยในการบรรลุเป้าหมายลดคาร์บอนลงได้ 30% ภายในปี 2025 รวมทั้งมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้อย่างแน่นอน” 

Stay Connected
Latest News