SCG ส่งการบ้าน ESG Symposium ครบรอบปี เช็คเข็มไมล์ ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำ​ เปลี่ยนผ่านปรับตัวกู้โลกเดือด เพิ่มโอกาส SMEs

เอสซีจี รายงานผลการขับเคลื่อนในรอบปีแรก หลังรับข้อเสนอจากงาน ESG Symposium 2023 พร้อม​ผนึกกำลังทุกภาคส่วนทั้ง รัฐเอกชนประชาสังคม เพื่อรวมพลัง “ร่วม-เร่ง-เปลี่ยน ไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ”

โดยการทำงานเน้นการประสานงานจากทุกฝ่าย ​​ปรับวิธีคิด “ทำงานแบบบูรณาการ” ภายใต้เป้าหมายเดียวกัน สื่อสารตรงไปตรงมา และลุยหน้างานจริง ช่วยปลดล็อค เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ตาม 4 ข้อเสนอที่ได้รับโจทย์ไป ประกอบด้วย 

1. การ​สร้าง “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทยให้เกิดขึ้นจริง  เพื่อส่งเสริมการก่อสร้างสีเขียวด้วยปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ 2. การขับเคลื่อน Circular Economy โดยความร่วมมือจากภาค​เอกชน มุ่งเน้นการจัดการแพคเกจจิ้งใช้แล้วผ่านโครงการรีไซเคิลแบบ Closed-Loop 3. การขับเคลื่อนด้านพลังงานสะอาดและยั่งยืน และ 4. การสนับสนุน SMEs เพิ่มโอกาสเข้าถึงความรู้เปลี่ยนธุรกิจสู่คาร์บอนต่ำ ผ่านโครงการ Go Together 

พร้อมประกาศเดินหน้า เร่งเครื่องต่อในปี​นี้จากทุกภาคส่วนกว่า 3,500 คน เพื่อรวมพลังเร่งเปลี่ยนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำต่อเนื่องในปีที่ 2 กับ ESG Symposium 2024 วันที่ 30 กันยายนนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทุกภาคส่วนร่วมือกันเพื่อ ​เร่งเปลี่ยนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ​จากจุดเริ่มต้นในการระดมสมองผู้เกี่ยวข้องกว่า 500 คน ในงาน ESG Symposium 2023 ออกมาเป็นข้อเสนอ 4 แนวทางในการกู้วิกฤติโลกเดือด ซึ่งในแต่ละแนวทางมีการขับเคลื่อนในหลายกิจกรรม และมีความคืบหน้าที่สำคัญ ได้แก่

การสร้างต้นแบบ ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ : ภาพรวมส่วนใหญ่ขับเคลื่อนไปตามแผนเป็นอย่างดี ทั้งการสร้างพื้นที่สีเขียวผ่าน เครือข่ายป่าชุมชน 38 แห่ง เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ สร้างเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตชุมชน ต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ , การสร้างอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศให้เป็นปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ แทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์แบบดั้งเดิม, การจัดการวัสดุเหลือใช้ โดยผลักดันการจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ​ผ่านโครงการธนาคารขยะ ถังขยะเปียกลดโลกร้อน และการขยายผล “ตาลเดี่ยวโมเดล” รวมทั้งโครงการที่ยังต้องขับเคลื่อนต่อเนื่องตามแผน เช่น ด้านการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ผ่านการปลดล็อก​การใช้พื้นที่ภาครัฐเพื่อมาผลิตเป็นพลังงานสะอาด ด้วยการติดตั้ง Solar Carport ที่ศูนย์ราชการ จ.สระบุรี ก่อนขยายผลสู่หน่วยงานอื่นต่อไป  และด้านเกษตรคาร์บอนต่ำ ด้วยการสนับสนุนการ​ทำ นาเปียกสลับแห้ง ลดใช้น้ำ ใช้ปุ๋ย และลดคาร์บอน โดยจะเพิ่มแรงจูงใจเพื่อให้มีเกษตรกรขับเคลื่อนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีนำร่องแล้ว 50 ไร่ โดยตั้งเป้าขยายผลเพิ่มให้ได้ 1,000 ไร่ หรือต้องเพิ่มอีกราว 20 เท่า รวมทั้ง​การส่งเสริมการปลูก หญ้าเนเปียร์ เพื่อแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน เพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้เกษตรกร

คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี

การขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน : ​เกิดความร่วมมือในการผลักดันกันเป็นอย่างดีภายในกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อขับเคลื่อนกฏหมายเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว (EPR) รวมทั้งการร่วมมือกันของภาคเอกชนในการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว เช่น โครงการเครื่องใช้ไฟฟ้ารักษ์โลก ซึ่งเป็นการจับมือระหว่างโฮมโปรและเอสซีจีซี เป็นตัวอย่างการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่ามารีไซเคิลแบบ Closed-Loop ขณะเดียวกันยังพบปัญหาในหลายภาคส่วนเช่น ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ยังไม่มีข้อกฏหมายรองรับการเก็บกลับซากรถยนต์หรือขาดเทคโนโลยีในการช่วยแยก หรือรีไซเคิลซากรถยนต์  ​

การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและยั่งยืน : ถือเป็นกลุ่มที่ยังมีความท้าทายในระดับสูง โดยในส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน มุ่งขับเคลื่อนผ่านการปรับปรุงหรือเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจำเป็นต้องมีการลงทุนในการดำเนินการ  เช่นเดียวกับในส่วนของระบบกักเก็บพลังงาน ที่ยังขาดผู้ลงทุน เพราะเทคโนโลยีมีราคาสูง และการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่มีเพียงแผนงานขยายโครงข่าย 1,000 เมกะวัตต์ แต่ยังไม่มีกำหนดเวลา​

การสนับสนุน SMEs :​ ด้านการส่งเสริมความรู้ SMEs เปลี่ยนธุรกิจสู่คาร์บอนต่ำ ผ่านโครงการ Go Together ถือว่าประสบความสำเร็จ โดยรุ่นแรกมีผู้เข้าร่วมกว่า 80 คน จากทั้งหมด 20 รุ่นทั่วประเทศ ตามแผนปี 2567-2568 ตั้งเป้าส่งต่อความรู้สู้โลกเดือดให้ SMEs 1,200 คน  ส่วนการสนับสนุนในการพัฒนาเทคโนโลยี หรือการเข้าถึงแหล่งทุนยังคงเป็นความท้าทาย โดยที่ผ่านมา มีเม็ดเงินด้าน Green Finance ที่มาสู่กลุ่ม SMEs เพียง 3,000 ล้านบาท ซึ่งยังถือว่าเป็นจำนวนที่น้อย ​โดยคาดว่าจะสามารถขับเคลื่อนได้เพิ่มมากขึ้นในปีนี้

“ความคืบหน้าข้างต้นเกิดขึ้นได้จากการปรับวิธีคิด เน้นทำงานแบบบูรณาการ (Open Collaboration) มี 3 หัวใจหลัก 1) เป้าหมายร่วมกัน (Same Goal) คือเปลี่ยนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำตาม NDC Roadmap (แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ)  2) แบ่งปันสื่อสาร (Open Communication) พูดคุยอย่างสร้างสรรค์ ตรงไปตรงมา เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดต่าง ๆ ที่พบระหว่างการทำงาน  3) ลงหน้างานจริง (Hands-on) ให้เข้าใจสถานการณ์ ข้อจำกัด และความต้องการของอีกฝ่าย แล้วนำมาปรับวิธีทำงานให้ตอบโจทย์เป้าหมายร่วมกันได้ดีที่สุด ช่วยให้งานมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น  หลังจากนี้ทุกภาคส่วนยังคงเดินหน้าเร่งขับเคลื่อนทุกโครงการ เพื่อให้สังคมคาร์บอนต่ำเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย”

คุณบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า “การเปลี่ยนจังหวัดสระบุรี เมืองอุตสาหกรรมของประเทศให้เป็นเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย เป็นเรื่องท้าทายมาก แต่เราก็ทำได้ด้วยโมเดล PPP หรือ Public-Private Partnership ที่ทุกภาคส่วนเห็นเป้าหมายเดียวกัน และพร้อมขับเคลื่อนไปด้วยกัน เห็นชัดจากการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้จัดการวัสดุเหลือใช้ทั่วทั้งจังหวัด อาทิ โครงการธนาคารขยะ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สนับสนุนชุมชนคัดแยกขยะครัวเรือนตั้งแต่ต้นทาง ปัจจุบันดำเนินการครบทั้ง 108 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกิดเป็นกองทุนธนาคารขยะ 123 กองทุน ขณะเดียวกันช่วยลดภาระงบประมาณการจัดเก็บและขนย้ายขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกด้วย  โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน มีคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) จำนวน 3,495 ตัน CO2 เทียบเท่า สร้างรายได้ให้ชุมชนเกือบ 1 ล้านบาท  ขณะที่การส่งเสริมการปลูกพืชพลังงาน เช่น หญ้าเนเปียร์ เพื่อแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล ได้ปลดล็อคด้วยการให้ความรู้แก่เกษตรกร เป็นตัวกลางเชื่อมให้ภาคอุตสาหกรรมมารับซื้อ สร้างความมั่นใจในด้านรายได้ให้เกษตรกร ปัจจุบันปลูกแล้วกว่า 100 ไร่ ที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี คาดว่าสามารถแปรรูปเป็นพลังงานทดแทนได้ 2,100 ตัน สร้างรายได้ให้เกษตรกร 2.5 ล้านบาทต่อปี และยังลดการปล่อยคาร์บอนได้ 2,500 ตัน CO2 เทียบเท่า”

คุณบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี

คุณชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) กล่าวว่า “ฐานกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ของประเทศกว่า 80% อยู่ที่สระบุรี ที่นี่จึงเป็นเสมือนบ้านของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เราจึงอยากพัฒนาบ้านของเราให้ดีขึ้น โดยร่วมกับทุกภาคส่วนเร่งเปลี่ยนสระบุรีให้เป็นเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย เริ่มจากพัฒนาปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิค : Hydraulic Cement) ที่ลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิต และสนับสนุนให้ใช้ในโครงการก่อสร้างของภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการใช้ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำแทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ สูงถึงกว่า 80% ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 1,169,673 ตัน CO2 (ข้อมูลสะสม มกราคม 2565 ถึงมีนาคม 2567) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินงานตามเป้าหมายของ จ.สระบุรี โดยไทยตั้งเป้าเป็นประเทศแรกในเอเชียที่จะไม่มีปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ภายในปี 2568 อีกทั้งมีแผนการใช้ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำประเภทใหม่ๆ ที่ลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิตได้มากขึ้น สำหรับแนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ได้ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย Princeton ซึ่งมีความชำนาญและเครื่องมือในการจัดทำแผน Energy Transition ของสหรัฐอเมริกา โดยร่วมกันประเมินเส้นฐาน (Baseline) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน และกำหนด Energy Roadmap ของ จ.สระบุรี รวมถึงประเมินแนวทางการใช้พื้นที่ของจังหวัดฯ​ ทำเป็น Solar PV พลังงานสะอาด เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและลดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน นอกจากนั้นควรเร่งพัฒนา Green Infrastructure รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของประเทศ โดยศึกษากระบวนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของจีน ที่มีการแบ่งลำดับขั้นตามความพร้อมของแต่ละอุตสาหกรรม รวมถึงตัวอย่างของไต้หวันที่มีโครงสร้างไฟฟ้าแบบการประมูลรายวัน ปัจจุบันเรามีความร่วมมือกับทั้ง 2 ประเทศในการพัฒนา Grid Modernization ในสระบุรีแซนด์บ็อกซ์”

คุณชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA)

คุณวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โฮมโปรในฐานะผู้นำเรื่องบ้าน เล็งเห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการเปลี่ยนสินค้าในบ้าน แต่ไม่รู้วิธีจัดการสินค้าใช้แล้วที่ถูกต้อง จึงริเริ่มโครงการ Closed-Loop Circular Products ซึ่งเป็นการนำสินค้าที่ใช้งานแล้วจากลูกค้าโฮมโปร มาจัดการอย่างถูกวิธี โดยคัดแยกชิ้นส่วนที่สามารถนำไปรีไซเคิลใหม่ และได้ความร่วมมือจากพันธมิตรหัวใจสีเขียวอย่างเอสซีจีซี ที่มีเป้าหมายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนเหมือนกัน ช่วยพัฒนาสูตรพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงที่เรียกว่า Green Polymer เพื่อนำกลับมาผลิตอีกครั้งเป็นสินค้ารักษ์โลกให้กับลูกค้าโฮมโปร ปัจจุบันโฮมโปรมี Circular Products ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น พัดลม ไปจนถึงกระเบื้อง กล่องอเนกประสงค์ ถุงช้อปปิ้ง และอื่น ๆ ซึ่งการส่งเสริมให้เกิด Circular Products ด้วยระบบ Closed-Loop ถือเป็นภารกิจที่ตอบเป้าหมายการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 ของโฮมโปรได้อย่างเป็นรูปธรรม”

คุณวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์จำกัด (มหาชน)

คุณแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า “ความท้าทายของผู้ประกอบการรายย่อยไทยต่อจากนี้คือ การปรับธุรกิจให้เข้ากับกฎเกณฑ์ใหม่ที่เกิดจากประเด็นความห่วงใยด้านสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป อาทิ Thailand Taxonomy มาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย หรือ CBAM มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นเสมือนกำแพงทางการค้า  ธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อน จะก้าวข้ามข้อจำกัดดังกล่าวและพาธุรกิจอยู่รอดได้เร็ว ดังนั้นสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยจึงสนับสนุน SMEs ให้เข้าถึงความรู้ มาตรฐานใหม่ ๆ เทคโนโลยีกระบวนการผลิตเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม แหล่งเงินทุนสีเขียวทั้งในและนอกประเทศสำหรับใช้ในการปรับธุรกิจ เน้นสร้างกลไกเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ เพิ่มโอกาสเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากมาตรการต่าง ๆ ทั้งการเงิน ส่งเสริมความรู้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม การทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนั้นยังต้องขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อช่วย SMEs ให้ร่วมยกระดับเศรษฐกิจฐานรากสู่ความยั่งยืนด้วย”

คุณแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย

คุณธรรมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเปลี่ยนสู่สังคมคาร์บอนต่ำไม่เพียงช่วยบรรเทาความรุนแรงของวิกฤตโลกเดือด แต่ยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจและประเทศ โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจขาลง ตลาดแข่งขันสูงจากสินค้านำเข้าจากจีน การบังคับใช้มาตรการ CBAM ที่จะกระทบต่อภาคการผลิต นำเข้า และส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอน เราจึงต้องเร่งเปลี่ยนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ควบคู่ไปกับการสร้างความสามารถในการแข่งขันด้วยวิธีการอื่นๆ  ปีนี้ทุกภาคส่วนจึงร่วมกันจัดงาน ESG Symposium 2024 ภายใต้ธีม “Driving Inclusive Green Transition ยิ่งเร่งเปลี่ยน ยิ่งเพิ่มโอกาส” โดยนำข้อเสนอจากการหารือระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 5 ด้านสำคัญ ได้แก่  1) Saraburi Sandbox โมเดลต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย  2) Circular Economy การใช้ทรัพยากรหมุนเวียนให้คุ้มค่าสูงสุด  3) Just Transition การสนับสนุนทรัพยากรแก่ภาคส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ในกระบวนการเปลี่ยนผ่าน  4) Technology for Decarbonization การพัฒนาเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  5) Sustainable Packaging Value Chain การจัดการแพคเกจจิ้งทั้งระบบอย่างยั่งยืน  มานำเสนอต่อรัฐบาล เพื่อร่วม-เร่ง-เปลี่ยนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำให้เร็วขึ้นกว่าเดิม”

งาน ESG Symposium 2024 จัดขึ้นวันที่ 30 กันยายนนี้ ณ Hall 1 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เวลา 11.00-16.30 น. โดยมีวิทยากรระดับโลกร่วมแบ่งปันประสบการณ์และตัวอย่างที่หลากหลายในการเปลี่ยนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมชมนิทรรศการจำลองการใช้ชีวิตแบบโลว์คาร์บอน รับชมการถ่ายทอดสดได้ที่ Facebook และ Youtube ของเอสซีจี ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.scg.com

Stay Connected
Latest News

“จระเข้” ลุยตลาดสีเมืองไทยมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ชี้ตลาด “สีปลอดภัย” และ “สีสร้างลาย” มาแรง พร้อมเผยโฉม “SEE JORAKAY Flagship Store” จัดแสดงโซลูชันสีทาอาคารแบบครบวงจร เปิดโซนพิเศษที่ชวนคนรักบ้าน มาออกแบบพื้นที่ในสไตล์ของตนเองด้วยสีสัน