ราช กรุ๊ป ลงทุนครึ่งปีหลัง 1 หมื่นล้าน ทั้ง​ไทย สปป.ลาว ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย เร่งศึกษาเทคโนโลยีใหม่เติมพอร์ตพลังงาน

บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศหนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนและเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593

โดย​กลยุทธ์ขับเคลื่อนได้วางให้สอดคล้องไปกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศเป้าหมาย ได้แก่ ประเทศไทย สปป. ลาว ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงาน และการขับเคลื่อนสู่​ Carbon Neutrality และ Net Zero ที่แต่ละประเทศได้ตั้งเป้าหมายไว้

คุณนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทสามารถรักษาผลการดำเนินงานให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยผล​ดำเนินงานรอบ 6 เดือน ของปี 2567 ​มีรายได้รวม 22,351 ล้านบาท รายได้หลัก 94% มาจากธุรกิจไฟฟ้ารวม 21,020 ล้านบาท ทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก 17,895 ล้านบาท และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 3,125 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากสาธารณูปโภคและส่วนอื่นๆ อีก 6% หรือ 1,331 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 3,827 ล้านบาท เติบโต 7.1% รวมทั้งอนุมัติ​จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลรอบ 6 เดือนแรก 0.80 บาทต่อหุ้น​ รวมเป็นจำนวน 1,740 ล้านบาท ​โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 20 กันยายน ที่จะถึงนี้

ขณะที่แนวทาง​ขับเคลื่อนเพื่อสร้างการเติบโตจากนี้​ จะมุ่งเน้น​ 3 เรื่อง ​คือ

1. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่เป็นแหล่งรายได้หลักและกระจายอยู่ในหลายประเทศ โดยจะนำดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการติดตามการดำเนินงานและการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าให้ดียิ่งขึ้น

2. บริหารโครงการในมือที่มีอยู่แล้วให้เสร็จตามเป้าหมาย ซึ่งปัจจุบันมี 15 โครงการ กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวม 1,773 เมกะวัตต์ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้าง ในจำนวนนี้มี 4 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าอาร์อีเอ็น โคราช โรงไฟฟ้านวนครส่วนขยาย โรงไฟฟ้าพลังน้ำซองเกียง1 เวียดนาม และโครงการกักเก็บพลังงานระบบแบตเตอรี่ LG2 ออสเตรเลีย กำลังผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น รวม 40 เมกะวัตต์ มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในครึ่งหลังของปีนี้

และยังมี 3 โครงการที่ดำเนินการสำเร็จไปแล้วในครึ่งแรกของปีนี้ ได้แก่ โรงไฟฟ้าหินกอง ชุดที่ 1 กำลังผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น 392.7 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าไพตัน อินโดนีเซีย กำลังการผลิต 742 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าคาลาบังก้า ฟิลิปปินส์ กำลังการผลิต 36.36 เมกะวัตต์

3. การลงทุนขยายธุรกิจ ​​มุ่งเน้นลงทุนในโครงการตามแนวทาง และกรอบการพัฒนาของประเทศเป้าหมายแต่ละแห่ง ทั้งในไทย ​ลาว ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย ​ซึ่ง​ครอบคลุมกำลังการผลิตพลังงานทดแทน (Greenfields) และเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (Brownfields) ควบคู่ไปกับการศึกษาโมเดลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) การผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสีเขียว การซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนโดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: DPPA) และการผลิตไฟฟ้าจากเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Reactor Modular: SMR)

“หลักการลงทุนของราช กรุ๊ป จะยึดจากศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของเราเป็นหลัก โดยเฉพาะความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ลงทุนทั้ง Greenfields และ​ Grid Connection และความคุ้นเคยในโครงสร้างและตลาดไฟฟ้าของประเทศเป้าหมายที่ดำเนินการอยู่ ทำให้สามารถเข้าใจสภาพตลาดและความต้องการของผู้บริโภค ที่มีต่อทั้งสินค้า บริการ และราคาที่ต้องการ ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง” 

ศึกษาเทคโนโลยีใหม่ รับแผนเปลี่ยนผ่านสู่​พลังงานสะอาด 100%

​ปัจจุบัน ราช กรุ๊ป สามารถ​รับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุนรวม 10,817.28 MW ​โดย 72.5% เป็นกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวม 7,842.61 เมกะวัตต์ และ 27.5% เป็นกำลังผลิตจากพลังงานทดแทน รวม 2,974.67 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถ​ถึงเป้าหมายที่ตั้งเป้าสัดส่วน Renewable ให้ได้ 30% ภายในปี  2573 และเพิ่มเป็น 40% ภายในปี 2578

ทำให้บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมปรับยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างการเติบโตให้สอดคล้องกับโอกาส และบริบททางธุรกิจที่มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ทั้งจากมาตรการด้านภาษี  การประกาศ Carbon Tax หรือการตื่นตัวของโลกด้านความยั่งยืน พร้อม​ทบทวนจุดแข็ง ศักยภาพ หรือการเร่งลงทุนในบางเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถปรับตัวไปทันกับทิศทางโลก รวมทั้งสอดคล้องกับเป้าหมายสุดท้าย​ที่จะต้องเปลี่ยนผ่านมาสู่ Greenfields ทั้ง 100% ของพอร์ตธุรกิจภายในปี 2593 ​ซึ่งจำเป็นต้องเร่งศึกษาทั้งโมเดลและเทคโนโลยีในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่เป็นกลุ่มพลังงานสะอาด ​รวมท้ังในกลุ่มที่ช่วยกักเก็บพัลงงาน​ห​รือสามารถเสริมประสิทธิภาพเพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วง Energy Transition นี้​ เช่น ระบบแบตเตอรี่ หรือ​การนำระบบ Synchronous Condenser มาใช้

“บริษัทตั้งงบลงทุน​ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ราว 1 หมื่นล้านบาท ​เพื่อ​ลงทุนทั้งในโครงการกรีนฟิลด์ และบราวน์ฟิลด์ โดยจะเข้าร่วมพัฒนาโรงไฟฟ้าในประเทศเป้าหมาย โดยประเทศไทยและอินโดนีเซีย มีโอกาสลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และก๊าซธรรมชาติ  ส่วน​ สปป. ลาว มีศักยภาพที่จะลงทุนด้านพลังงานน้ำเพื่อส่งจำหน่ายให้กับประเทศไทย และในออสเตรเลียจะเป็นโครงการพลังงานลม แสงอาทิตย์ ระบบกักเก็บพลังงาน และโครงการประเภท Synchronous Condenser ที่ต่อยอดจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเสริมประสิทธิภาพด้านการรักษาความมั่นคงทางพลังงาน”

สำหรับโครงการที่ ราช กรุ๊ป เริ่มศึกษาเพื่อพัฒนาโมเดล​ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า​ใหม่ๆ รวมทั้งเทคโนโลยีด้านพลังงานอนาคตที่ยังไม่มีผู้เล่นหลัก หรือเจ้าตลาด เพื่อขยายไปสู่การเติบโตใหม่ๆ รวมท้ังสอดคล้องกับแผน Energy Transition ประกอบด้วย

–  โครงการกรีนไฮโดรเจน ได้ร่วมกับ BIG พัฒนาการผลิตไฮโดรเจนจากพลังงานทดแทน​ใน​ไทย ​ลาว และออสเตรเลีย เพื่อจำหน่ายภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และการผลิตไฟฟ้าในอนาคต

– ระบบกักเก็บพลังงานในรูปแบบแบตเตอรี่ (BESS) ซึ่งบริษัทย่อยในออสเตรเลียกำลังศึกษาโครงการขนาด 100 MW/200 MWh ในรัฐนิวเซาท์เวลส์

– โครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยตรงในประเทศไทย (DPPA) ซึ่งกำลังร่วมกับพันธมิตรศึกษาโครงการนำร่องในนิคมอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมกับพันธมิตร เพื่อศึกษาการสร้างโรงไฟฟ้า​นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ​ทั้งการศึกษาด้านเทคโนโลยี กฎระเบียบ ศักยภาพและความเหมาะสมของทำเลที่ตั้ง พร้อมทั้งการ​ประเมินผลกระทบด้านต่างๆ อย่างรอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีความปลอดภัยสูงหากมีการนำมาใช้ เนื่องจากความท้าทายสำคัญ​มากกว่าทุกเรื่อง คือ การทำให้ประชาชนยอมรับและเกิดความมั่นใจ จึงต้องเน้นการให้ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจกับประชาน รวมทั้งยังต้องรอขั้นตอน​ให้ประเทศไทยได้รับใบอนุญาตในการเป็นประเทศที่จะสามารถดำเนินโครงการในลักษณะนี้ได้เสียก่อน ซึ่ง​คาดว่ามีเวลาในการเตรียมตัวสำหรับการขับเคลื่อนได้อีกหลายปี

Stay Connected
Latest News