กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย อันประกอบไปด้วย บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าสานต่อ โครงการ “รักน้ำ” ที่ทาง “โคคา-โคล่า” มุ่งผลักดันเพื่อแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำของชุมชนต่างๆ ในประเทศไทย โดยการใช้นวัตกรรมและความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างแท้จริงและแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
โครงการ “รักน้ำ” ดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 17 ปี จากการสนับสนุนของมูลนิธิโคคา-โคล่า และมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย และดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือกับหลายองค์กรพันธมิตร อาทิ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอื่นๆ เครือข่ายชุมชนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการท้องถิ่น
ปัจจุบันโครงการรักน้ำ เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาน้ำชุมชนใน 9 จังหวัดทั่วประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี มหาสารคาม และกระบี่ ซึ่งโครงการในจังหวัดเหล่านี้ได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิโคคา-โคล่าในแอตแลนตา สหรัฐอเมริกา รวมถึงจังหวัดลำปาง นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ และปทุมธานี ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย
งานสัมมนา Sustrends 2025 เวทีอัปเดตเทรนด์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนประจำปี กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ได้นำเสนอโครงการ ‘รักน้ำ’ มาเป็น Showcase โดยมีผู้แทนจากองค์กรพันธมิตรในโครงการ ‘รักน้ำ’ พร้อมด้วยผู้แทนชุมชนบ้านลิ่มทอง จังหวัดบุรีรัมย์ หนึ่งในพื้นที่โครงการรักน้ำ มาร่วมพูดหัวข้อ ‘แลกเปลี่ยน เรียนรู้ กับโครงการ ‘รักน้ำ’ การจัดการน้ำในชุมชนอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรม’ เพื่อแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางความสำเร็จของการจัดการน้ำที่สามารถช่วยให้ชุมชนให้มีทรัพยากรน้ำเพียงพอต่อการอุปโภค บริโภค รวมถึงสร้างความเปลี่ยนแปลงในชุมชนอย่างยั่งยืนต่อเนื่องมากว่า 17 ปี
โคคา-โคล่า ตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำ การส่งเสริมความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำจึงเป็นภารกิจที่โคคา-โคล่า ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งทั้งในระดับโลกและระดับท้องถิ่น ดังนั้น ยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำปี พ.ศ. 2573 ของโคคา-โคล่า จึงมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำ เพื่อยกระดับความมั่นคงและความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่โคคา-โคล่าดำเนินกิจการอยู่กว่า 200 ประเทศและเขตการปกครอง
คุณศรุต วิทยารุ่งเรืองศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ การสื่อสาร และความยั่งยืน บริษัท โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย เมียนมา และลาว กล่าวว่า โคคา-โคล่า ตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำ เพราะ “น้ำ” คือชีวิต และเพราะน้ำมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้คน ต่อการผลิตเครื่องดื่มของเรา และต่อชุมชนที่เราดำเนินงานอยู่
ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา โครงการรักน้ำ ได้เข้าไปพัฒนาแหล่งน้ำชุมชนซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ใช้เพื่ออุปโภค บริโภค และเกษตรกรรม โดยมุ่งใช้นวัตกรรมเพื่อจัดการน้ำในชุมชนอย่างยั่งยืน จากการสนับสนุนของพันธมิตรองค์กรการกุศลอย่างมูลนิธิโคคา-โคล่า และมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย ผ่านการทำงานภายใต้ความร่วมมือกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรต่างๆ รวมถึงเครือข่ายชุมชนในแต่ละพื้นที่
“ความสำเร็จของโครงการรักน้ำ ใน 6 จังหวัด ช่วยให้ชาวบ้านสามารถจัดการน้ำ อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และพัฒนาแหล่งน้ำได้ด้วยตนเอง นำมาสู่การต่อยอดในปีนี้ ด้วยการขยายโครงการรักน้ำ ไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ อีก 3 จังหวัด อันได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม เพชรบูรณ์ และกระบี่ ซึ่งเป็นโครงการที่ขับเคลื่อนภายใต้การดูแลของ มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย เป็นการนำความสำเร็จระดับ Global Best practice มาสู่การต่อยอดพัฒนาเพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขยายไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง “
ทั้งนี้ แต่ละชุมชนเผชิญปัญหาน้ำที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งหรืออุทกภัย แผนการจัดการน้ำจึงเข้ามามีส่วนช่วยแก้ปัญหาให้คนในชุมชน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือปัญหาได้ดีขึ้น เช่น กรณีตัวอย่าง ชุมชนบ้านลิ่มทอง จังหวัดบุรีรัมย์ ชาวบ้านในชุมชนได้รวมกลุ่มเพื่อช่วยจัดการทรัพยากรน้ำ โดยสร้างแหล่งน้ำสาธารณะ สร้างระบบทางเดินของน้ำที่เหมาะกับสภาพพื้นที่ ขุดลอกคูคลอง และปรับการเพาะปลูกพืชผลให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำ ทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นจนเพียงพอต่ออุปโภค บริโภค รวมไปถึงการทำเกษตรกรรม เพิ่มความสามารถในการเพาะปลูกพืชผลได้หลากหลาย และสร้างงานให้กับชุมชน ทำให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แม้ว่าโครงการรักน้ำ ในชุมชนบ้านลิ่มทองจะสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา แต่วิธีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในโครงการ ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้ชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งได้นำความสำเร็จและองค์ความรู้ไปเป็นโมเดลต้นแบบการจัดการน้ำให้ชุมชนอื่นนำไปปรับใช้ เช่น ชุมชนในจังหวัดเพชรบูรณ์ที่เริ่มต้นโครงการในปี พ.ศ. 2567
ดร.รอยล จิตรดอน กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “มูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ได้ร่วมดำเนินงานโครงการรักน้ำ ด้วยการส่งต่อความรู้ ให้ชุมชนที่อยู่นอกเขตชลประทานได้ประยุกต์ใช้แนวพระราชดำริด้านน้ำของรัชกาลที่ 9 ไปพัฒนา ฟื้นฟู และบริหารจัดการน้ำได้อย่างยั่งยืน และสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือทั้งในชุมชน และหน่วยงานภายนอก เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ปัจจุบันสถานการณ์น้ำประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชุมชนจำเป็นต้องปรับตัว และสร้างภูมิคุ้มกันของตนเอง คือมีน้ำสำรองไว้ใช้ในยามขาดแคลน เพื่อลดผลกระทบต่อการทำเกษตรกรรม รวมทั้งส่งเสริมการทำเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ ซึ่งชุมชนบ้านลิ่มทองคือตัวอย่างความสำเร็จ
“สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ได้เข้าไปถ่ายทอดการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านการสำรวจพื้นที่มาพัฒนาแหล่งน้ำ ทำให้น้ำกระจายได้ทั่วทั้งชุมชนตามแรงโน้มถ่วง และทำปฏิทินผลผลิต คำนวนปริมาณน้ำให้เหมาะสมกับการเพาะปลูก ผลสำเร็จของบ้านลิ่มทองนี้ไม่เพียงแก้ปัญหาน้ำ แต่สร้างอาชีพ รายได้ และทำให้ครอบครัวกลับมาพร้อมหน้า ลดการย้ายถิ่นฐาน รวมทั้งโลกยุคปัจจุบันมีการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เราหวังว่าการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยให้ชุมชนมีเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำและเกษตร รวมทั้งการขายและการตลาด ให้ชุมชนประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น และเป็นตัวอย่างให้ชุมชนอื่นๆ ต่อไป โดยโครงการรักน้ำ ในจังหวัดขอนแก่น ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จในการนำวิธีแก้ปัญหาที่เป็นนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการน้ำ”
คุณมีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งและนายกสมาคม สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (PDA) กล่าวว่า สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนมุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน โดยตระหนักว่าน้ำเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของชุมชน พร้อมศึกษาแนวทางพัฒนาชุมชนรูปแบบใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาน้ำ เช่น โครงการรักน้ำ ในจังหวัดขอนแก่น ที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิโคคา-โคล่า โดยได้เข้าไปช่วยพัฒนาให้ชุมชนเข้าถึงน้ำได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยแก้วิกฤตภัยแล้ง และยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้าน
โครงการนี้ยังได้ส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการติดตั้งระบบจัดการน้ำที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น ระบบการจัดการน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ (SPWS) และระบบการจัดการเติมน้ำสู่ชั้นน้ำใต้ดิน (MAR) พร้อมเสริมสร้างศักยภาพให้ผู้คนในชุมชน โดยสนับสนุนให้ชุมชนได้เป็นเจ้าของโครงการ รวมทั้งผลักดันการมีส่วนร่วมและการลงทุนในพลังงานสะอาดของชุมชน ไปจนถึงการบริหารจัดการแหล่งน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จในระยะยาว และสามารถพลิกฟื้นพื้นที่ที่เคยประสบปัญหาภัยแล้งมาอย่างยาวนานให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ได้ ความสำเร็จนี้ได้ตอกย้ำว่าการมีส่วนร่วมของชุมชนและวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดของแต่ละชุมชนนั้นมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นแบบอย่างให้แก่ภูมิภาคอื่นที่กำลังเผชิญปัญหาที่คล้ายคลึงกัน”
ความสำเร็จของโครงการ “รักน้ำ” ในจังหวัดขอนแก่น ได้รับการนำไปต่อยอดให้กับโครงการใหม่ในจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดกระบี่ ที่เริ่มในช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ โดยนำรูปแบบการจัดการน้ำของจังหวัดขอนแก่นมาปรับใช้ในการแก้ปัญหาน้ำของชุมชน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของชุมชน อันจะนำไปสู่การจัดการน้ำที่ยั่งยืนในระยะยาว
กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย พร้อมด้วยพันธมิตร ยังคงทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการน้ำที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นต่อไป โดยสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ “รักน้ำ” และโครงการด้านการจัดการน้ำในปัจจุบันได้ที่: เว็บไซต์ของโคคา-โคล่า ประเทศไทย