บทบาทของ “ผู้ผลิต” ในโลกยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ผลิตสินค้า แต่ต้องขยายความรับผิดชอบไปจนถึงการจัดการสินค้าหลังบริโภคด้วย เพื่อไม่ให้กลายเป็น “ขยะ” ตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อม ตามหลักการ EPR (Extended Producer Responsibility) ซึ่งกำลังกลายเป็นกฎกติกาการค้ายุคใหม่ในประชาคมโลก
EPR หรือ “หลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต” เป็นการขยายความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตในทุกกลุ่ม ตั้งแต่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ไปจนถึง วิสาหกิจขนาดกลางย่อม (SMEs ) ที่ต้องบริหารจัดการให้ครอบคลุมวงจรชีวิตของสินค้ารวมทั้งบรรจุภัณฑ์ ตั้งแต่การออกแบบการผลิต ไปจนถึงการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วให้ถูกต้องตามหลักการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับประเทศไทยอยู่ระหว่างผลักดัน พ.ร.บ.การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน โดยนำหลักการ EPR มาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย และกำลังเตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเริ่มนำหลัก EPR มาใช้ในภาคการผลิตของประเทศ และวางเป็นกฎหมายใหม่ได้ตามเป้าหมายในปี 2570 ซึ่งนอกจากการดูแลผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยรักษาขีดความสามารถการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะสินค้าที่มีเป้าหมายขยายไปสู่ตลาดส่งออก
ล่าสุด สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อมงาน (TIPMSE ) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เป็นแกนกลางร่วมกับเครือข่าย ภาครัฐ และเอกชน ในการเตรียมความพร้อมพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการเก็บบรรจุภัณฑ์เข้าสู่วงจรรีไซเคิล ผ่านการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “PROVE: The Journey to EPR Thailand” เพื่อสื่อสารและสร้างโอกาสในการเข้าร่วมขับเคลื่อน EPR ภาคสมัครใจ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ภาคบังคับ โดยมีผู้เข้าร่วมจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้รวบรวม โรงงานรีไซเคิลจาก 60 องค์กร มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อปูทางการพัฒนาระบบขององค์กร ให้สามารถนำหลัก EPR ไปใช้โดยไม่เกิดอุปสรรคและปัญหาในการบริหารจัดบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ
คุณทวีชัย เจียรนัยขจร ผู้อำนวยการส่วนลดและใช้ประโยชน์ของเสีย กองจัดการกากของเสียและสารอันตราย กรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วม และเดินหน้าในการนำบรรจุภัณฑ์กลับเข้าสู่ระบบมากที่สุด รวมทั้งการขับเคลื่อนระบบ EPR ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างกลไกการจัดการอย่างเป็นระบบครบวงจร เนื่องจากกฎหมายขยะปัจจุบันยังมีช่องโหว่ โดยกำหนดบทบาทให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่เพียงเก็บขนกำจัดอย่างเดียว แต่ไม่มีบทบัญญัติเรื่องการคัดแยกและรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการลงมือปฏิบัติ และอุดช่องว่างการใช้ระบบ EPR ในอนาคต ทางเครือข่ายได้จัดตั้ง คณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยหลักการ EPR ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งภาครัฐและเอกชนในการร่วมขับเคลื่อน 7 แผนงาน ได้แก่ 1 .การสนับสนุนการดำเนินงาน V-EPR หรือ EPR ภาคสมัครใจของเอกชน 2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น 3. การพัฒนาแนวทางการดำเนินงานตามหลัก EPR ในอนาคต (ถอดบทเรียนจากการนำร่อง) 4. การจัดทำข้อมูลและฐานข้อมูลบรรจุภัณฑ์ 5. การพัฒนาข้อเสนอแรงจูงใจเพื่อสนับสนุนภาคเอกชน กรณีจัดการบรรจุภัณฑ์ตามหลักการ EPR 6. การสร้างการรับรู้ความเข้าใจ เพื่อสร้างความร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และ 7. การพัฒนากฎหมาย EPR
“แรงกดดันของประชาคมโลกในการจัดการปัญหามลพิษจากพลาสติก และการนำของเสียกลับมาเป็นทรัพยากรเพื่อลดคาร์บอนฟรุตพรินท์ที่กลายเป็นกระแสโลก จึงจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อน EPR ที่เหมาะสมกับบริบทประเทศไทย เพื่อนำบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาใช้ประโยชน์ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” คุณทวีชัย กล่าว
ด้าน คุณธงชัย ศิริธร รองประธานสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE ) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะองค์กรหลักของภาคเอกชนในการขับเคลื่อน EPR กล่าวว่า เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสามารถเข้าสู่ระบบ EPR ได้ง่ายขึ้น และมีต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ จึงพัฒนากลไก PRO (Producer Responsibility Organization) เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการ รับผิดชอบด้านการเรียกกลับบรรจุภัณฑ์ เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการบังคับใช้กฎหมายใหม่ ซึ่ง โดย มีแผนร่วมกันจัดตั้งองค์กรตัวแทนในนาม PROVE (Producer Responsibility Organization Voluntary Effort) เพื่อร่วมทดลองการดำเนินงาน EPR ภาคสมัครใจในการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว เพื่อถอดบทเรียนการดำเนินงานและนำเสนอภาครัฐ เพื่อหาบริบทที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวองค์กร PROVE ในงาน SUSTAINABILITY EXPO 2024 ช่วงเดือน ต.ค.นี้ โดยมุ่งหวังว่าผู้ประกอบ SME จะเข้ามามีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น และยังนำมาซึ่งความได้เปรียบทางการค้าของไทยในระยะยาว
สำหรับการนำร่องขับเคลื่อนโครงการ EPR ภาคสมัครใจ (Voluntary EPR ) ในช่วงที่ผ่านมา มีการดำเนินโครงการ ‘PackBack เก็บกลับบรรจุภัณฑ์เพื่อวันที่ยั่งยืน’ ตั้งแต่ปี 2564 ในพื้นที่ 3 เทศบาล จ.ชลบุรี ได้แก่ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลเมืองบ้านบึง และเทศบาลตำบลเกาะสีชัง และเตรียมขยายผลไปสู่ 11 เทศบาล ในปี 2567 โดยทดลองเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยหลัก EPR โดยปัจจุบันมี 100 องค์กรแสดงเจตจำนงความร่วมมือแล้วในงาน SUSTAINABILITY EXPO 2023 ที่ผ่านมา พร้อม 4 องค์กรภาคี ได้แก่ PPP Plastics, PRO Thailand Network, Aluminium Closed Loop Packaging System (Al Loop) และ TIPMSE PackBack รวมถึง Collector รายใหญ่ที่พร้อมสนับสนุนอย่าง TBR หรือ SCGP เพื่อร่วมสร้างกลไก EPR ให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม
ปัจจุบันประเทศไทยมีเอกชนรายใหญ่ รวมตัวกันภายใต้ PRO-Thailand Network โดยมี 7 บริษัทนำร่อง ร่วมทำการวบรวมบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว 3 ประเภท ทั้งขวดพลาสติกใส (PET Bottle) กล่องเครื่องดื่ม และพลาสติกหลายชั้น (เช่น ซองขนม ถุงน้ำยาปรับผ้านุ่ม เป็นต้น) นอกจากนี้ ยังมี Aluminium Loop ที่ทดลองนำร่องศึกษาเครื่องมือเก็บกลับในพื้นที่พิเศษ เช่น พื้นที่เกาะต่างๆ รวมทั้ง PPP Plastic ที่กำลังผลักดันการพัฒนาโครงสร้างรองรับการคัดแยก ซึ่งที่ผ่านมา ทุกหน่วยงานได้ขับเคลื่อนอย่างเข้มข้นภายใต้ความเชี่ยวชาญของแต่ละแห่ง
ทั้งนี การจัดตั้ง PROVE จะช่วยพัฒนาระบบในการเชื่อมโยงองค์กรที่มีจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการบรรจุภัณฑ์ให้ครอบคลุมและบรรลุเป้าหมายการสร้างเครือข่าย EPR ที่สมบูรณ์มากขึ้น พร้อมทั้งเดินหน้าจัดเวทีรับฟัง แนะนำ และแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสะท้อนปัญหาและและอุปสรรคของผู้ประกอบการ รวมทั้งทำความเข้าใจกระบวนการทำงานในมิติต่างๆ เพื่อสนับสนุนกลไก EPR เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโมเดลนำร่อง PROVE ผ่าน 4 เวทีสัมมนากลุ่มย่อย ประกอบด้วย
1. Recap EPR Policy : จับประเด็นกฎหมาย EPR
เพื่อทำความเข้าใจกฎหมาย EPR ที่จะเป็นแม่บทของการกำกหนดกลไกการบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน สู่การกำหนดนโยบายระดับประเทศ ผ่านคณะกรรมการนโยบายการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ร่วมด้วยผู้แทนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการ ขณะที่ภาคปฏิบัติจะมีกลไกการจัดการบรรจุภัณฑ์ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำ, ผู้ผลิต, ผู้จัดจำหน่าย, ผู้บริโภค, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น,ผู้เก็บรวบรวมบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว (ซาเล้งและร้านรับซื้อ ตลอดจนสถานที่กำจัด สถานที่แปรใช้ใหม่บรรจุภัณฑ์)
ส่วนสาระสำคัญใน กม. EPR เป็นการกำหนดบทบาทองค์กรความรับผิดชอบการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน (PRO : Producer Responsibility Organization) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนผู้ประกอบการ ในการเก็บรวบรวมและคัดแยกบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว เพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ โดยเรียกเก็บค่าบริการในการจัดการบรรจุภัณฑ์ (EPR Fees) จากผู้ประกอบการ รวมถึงจัดทำแผนจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน เพื่อเสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ ขณะที่ในส่วนของบรรจุภัณฑ์ที่ไม่สามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้ ผู้ประกอบการจะต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียม Damage Fee เข้ากองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
2. Reset Infrastructure : ปรับโครงสร้างขับเคลื่อน EPR
การนำเสนอระบบนิเวศเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อจัดการขยะอย่างยั่งยืน ภายใต้โครการ Smart Recycling Hub เป็นโมเดลต้นแบบนำร่องการจัดการและแปรรูปวัสดุรีไซเคิลครบวงจรในพื้นที่ กทม. ผ่านการพัฒนาระบบ Ecosystem และเชื่อมโยงให้มีระบบจัดการวัสดุใช้แล้วเข้าสู่กระบวนการผลิต ครอบคลุมตั้งแต่การแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ไม่ว่าจะเป็นกลไก Waste Collection System ที่รองรับการจัดการขยะแห้ง ขยะรีไซเคิล ขยะเปียก การจัดตั้งจุดรับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว (drop off point), ระบบขนส่งและจัดเก็บ และการจัดตั้งศูนย์คัดแยกและแปรรูปวัสดุรีไซเคิล (Material Recovery Facility : MRF) เพื่อคัดแยกขยะตามประเภทของวัสดุ นำกลับมาใช้ประโยชน์ ผ่าน 3 ช่องทาง ทั้งการส่งเข้าโรงงานรีไซเคิล (Mechanical Recycler) การนำขยะพลาสติกไปทำให้เป็นน้ำมันหรือปิโตรเลียม (Chemical Recycler) และการใช้เป็นเชื้อเพลิง ผลิตพลังงานจากขยะ (Waste To Energy)
3. Reinvent with Recycle : เปลี่ยนดีไซน์สู่ความยั่งยืน
การแสดงความรับผิดชอบตั้งแต่ต้นทางผ่านขั้นตอนการออกแบบดีไซน์ โดยนำหลัก Eco-design ตามแนวคิด Design for Recycle (D4R ) เพื่อสามารถเก็บกลับบรรจุภัณฑ์เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้มากที่สุด ตามหลักการ Eco-modulation fees ที่กำหนดให้การออกแบบดีไซน์เป็นปัจจัยหนึ่งที่ใช้พิจารณาปรับลดค่าธรรมเนียม เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำ eco-design นำบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ซ้ำได้อย่างเหมาะสม ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ให้มากที่สุด หรือการใช้วัสดุรีไซเคิลได้/วัสดุรีไซเคิลแล้ว, สนับสนุนการใช้วัสดุชนิดเดี่ยว (mono-materials) ใช้ส่วนประกอบของวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ และใช้สีให้น้อยที่สุด, พร้อมทั้งใช้สารยึดติดหรือกาวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการคัดแยกและรีไซเคิล, ตัวช่วยหมุนปิด/ฝาปิดที่ติดกับบรรจุภัณฑ์ให้หนาแน่น หลีกเลี่ยงการมีชิ้นส่วนขนาดเล็กที่หลุดลอดสู่ธรมชาติได้ง่าย รวมทั้งการออกแบบให้บรรจุภัณฑ์สามารถเททิ้งของเหลือภายในออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ความหมายของการออกแบบเพื่อการรีไซเคิล บรรจุภัณฑ์ควรได้รับการออกแบบให้สามารถแยกส่วนประกอบบรรจุภัณฑ์ (packaging components) ออกจากกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้บริโภคขั้นสุดท้ายมีส่วนร่วมในขั้นตอนการกำจัด เป็นต้น
4. Reignite EPR Voluntary Action : จับมือรวมพลังผลักดัน EPR
การเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วจำเป็นต้อง เกิดจากความรับผิดชอบทุกภาคส่วน ทั้งผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้บริโภค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งโรงงานรีไซเคิล เพื่อให้เกิดการเก็บกลับครบวงจร (Closed Loop Packaging) ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ. EPR ได้กำหนดแนวทางจัดการบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนไว้ 2 รูปแบบ คือ ผู้ประกอบการรับผิดชอบจัดการเอง (Individual Producer Responsibility: IPR) และการจัดตั้งองค์กรกลางอย่าง PRO เข้ามารับผิดชอบ ซึ่งการระดมความคิดเห็น ผู้ประกอบส่วนใหญ่เห็นพ้องไปในแนวทางจัดตั้งองค์กร PRO ร่วมกัน มากกว่าต่างคนต่างจัดการกันเอง ซึ่งในปัจจุบัน ภาคเอกชนได้มีการรวมตัวกันเพื่อทดลองจัดตั้งองค์กรรับผิดชอบการจัดการบรรจุภัณฑ์ในชื่อ PROVE : Producer Responsibility Organization Voluntary EFFORT เพื่อดำเนินงานในช่วงเตรียมความพร้อมสู่การดำเนินงานภาคบังคับต่อไป