เจาะปัญหา #SAVEทับลาน กับปัญหาที่ทับซ้อนมานาน

ในช่วงสัปดาห์นี้ ในแวดวงผู้สนใจเรื่องทรัพยากรป่าไม้คงไม่มีกระแสใดแรงเท่า #SAVEทับลาน ที่ปรากฏอยู่ตามหน้าสื่อต่างๆ รวมทั้งโซเชียลมีเดีย การปะทะทางความคิดของกลุ่มที่ต้องการอนุรักษ์ผืนป่าแห่งนี้ กับกลุ่มที่มีความเห็นว่าชุมชนที่อยู่มาก่อนมีการประกาศเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติควรมีสิทธิเหนือที่ดินนั้นเป็นไปอย่างเข้มข้นและเป็นที่จับตาของผู้คนในสังคม

ที่มาของ #SAVEทับลาน เกิดจากการที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดรับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุงแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2566 เห็นชอบแนวทางของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ใช้เส้นปรับปรุงการสำรวจแนวเขตปี พ.ศ. 2543 ซึ่งจะมีผลให้เนื้อที่อุทยานลดลงประมาณ 2.65 แสนไร่ จึงทำให้ประชาชนที่เป็นห่วงทรัพยากรป่าไม้ของประเทศออกมาแสดงความคิดเห็นและคัดค้านการใช้เส้นปรับปรุงแนวเขตดังกล่าว

ปัญหาที่ดินทับซ้อนระหว่างพื้นที่ทำกินของชุมชน พื้นที่ป่าไม้ หรือพื้นที่ที่ถูกประกาศให้เป็นป่าอนุรักษ์ เป็นปัญหาเรื้อรังยาวนานที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ไม่เฉพาะกับอุทยานแห่งชาติทับลานเท่านั้น ต้นตอของปัญหาส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกันคือ เกิดจากการที่ราษฎรเข้าไปบุกเบิกแผ้วถางทำกินในพื้นที่ ซึ่งในขณะนั้นอาจเป็นพื้นที่ป่าไม้ตาม พรบ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 หรือพื้นที่ป่าสงวน

บางพื้นที่การเกิดขึ้นของชุมชนอาจเกิดจากนโยบายของรัฐเป็นตัวกระตุ้น เช่น การส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ การย้ายถิ่นฐานที่เกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น หรือการส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นต้น แต่เมื่อมีการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ อาจด้วยระยะเวลาในการดำเนินงานที่จำกัด เทคโนโลยีที่ยังไม่ก้าวหน้า หรือด้วยอีกหลายปัจจัย ทำให้เกิดแนวเขตซ้อนทับกับที่ทำกินของชุมชน

หรืออีกประการหนึ่งคือการที่ราษฎรบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพื่อการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ จนทำให้พื้นที่ไม่คงสภาพป่า จึงมีการมอบพื้นที่นั้นให้กับสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (สปก.) นำไปจัดสรรให้แก่เกษตรกรเพื่อประกอบอาชีพทางการเกษตรต่อไป

และแม้ว่าเงื่อนไขของที่ดิน สปก.นั้น ห้ามซื้อขายเปลี่ยนมือ และมีวัตถุประสงค์เพื่อการเกษตรเท่านั้น แต่บริเวณอุทยานแห่งชาติทับลาน จะเห็นโรงแรม ที่พัก รีสอร์ท ตั้งอยู่ในพื้นที่ สปก.จำนวนมาก ซึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้

​กรณีของอุทยานแห่งชาติทับลานนั้น การยกเลิกแนวเขตเดิมและใช้แนวเขตใหม่จะทำให้พื้นที่ 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่มีปัญหาที่ดินทับซ้อนกับ สปก. กลุ่มที่อยู่อาศัยมาก่อนมติครม. 2541-2557 และ กลุ่มนายทุนที่มีคดีความอยู่กว่า 400 คดี อยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติโดยอัตโนมัติ ซึ่งเสียงจากคนในพื้นที่ระบุว่าพื้นที่เหล่านั้นไม่ได้เป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าแต่อย่างใด และคนในพื้นที่เองก็ต้องการให้มีการปรับปรุงแนวเขตอุทยานฯ เพื่อการแก้ไขปัญหาแนวเขตทับซ้อนอย่างจริงจัง

ความตั้งใจในการรักษาพื้นที่ป่าไม้ของชาติไว้เพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง แต่สิทธิของชุมชนก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพื้นที่ที่จะถูกกันออกไม่มีสภาพเป็นป่าแล้วก็ควรจะส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

ในส่วนของพื้นที่ที่มีคดีความเรื่องการบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย และหากชุมชนสามารถพิสูจน์ได้ว่าตั้งถิ่นฐานมาก่อนการประกาศเป็นพื้นที่อุทยานฯ หรือก่อนมติครม. 2541-2557 ก็ควรมีสิทธิได้รับความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยเช่นกัน แต่รัฐควรส่งเสริมอาชีพ และการทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บนฐานการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ที่ยั่งยืน โดยเร่งรีบดำเนินการพิสูจน์สิทธิในที่ดินควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นและเป็นธรรม

Stay Connected
Latest News