ปัญหา ‘ภัยแล้ง’ เป็นหนึ่งในความเดือดร้อนสำคัญของพี่น้องภาคอีสานมาเป็นระยะเวลานาน ประกอบกับความแปรปรวนของสภาพอากาศในปัจจุบันจากภาวะโลกเดือด ทั้งปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ทำให้ความรุนแรงของปัญหาภัยแล้งและการขาดแคลนน้ำ เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน และสำหรับทำการเกษตรมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ทั้งด้านคุณภาพชีวิต สุขภาพ รวมถึงรายได้ที่ไม่เพียงพอของผู้คนในพื้นที่
การมีแหล่งน้ำที่สะอาดในปริมาณที่เพียงพอ จึงเป็นหนึ่งปัจจัยพื้นฐานในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คน คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) จึงร่วมกับ “สิงห์อาสา” พร้อมด้วยบริษัท ขอนแก่นบริวเวอรี่ จำกัด บริษัทในเครือบุญรอดฯ และ เครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18 สถาบัน สร้างสรรค์โครงการ “สิงห์อาสาสร้างแหล่งน้ำชุมชนอย่างยั่งยืน” ต่อเนื่องหลายปี เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำตามธรรมชาติให้ชาวบ้านมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี และยังทำหน้าที่เป็นบ่อกักเก็บน้ำและช่วยชะลอการหลากของน้ำในช่วงฤดูฝน ช่วยป้องกันปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ได้อีกทางหนึ่งด้วย
ขณะเดียวกันยังเป็นกลไกสำคัญในการเติมระดับน้ำใต้ดิน จากการใช้องค์ความรู้ทางวิชาการในการเลือกพื้นที่ และรูปแบบการขุดบ่อที่ลึกมากพอจนทำให้น้ำสามารถซึมผ่านชั้นหินอุ้มน้ำได้ เพื่อช่วยเพิ่มแหล่งน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งเพิ่มความมั่นคงทางอาหารภายในชุมชนได้มากขึ้น เพราะเมื่อปริมาณน้ำมากขึ้น นอกจากรองรับการอุปโภคในพื้นที่ได้พอเพียงแล้ว ยังทำให้มีน้ำสำหรับการทำการเกษตรเพิ่มเติม ทั้งการปลูกข้าว พืชผัก ผลไม้ รวมทั้งมีปลาในบ่อตามธรรมชาติ ให้ชาวบ้านจับเป็นอาหารได้ด้วย
เพิ่มบ่อโครงข่าย ขยายผลเชิงบวกในพื้นที่
โครงการสิงห์อาสาสร้างแหล่งน้ำชุมชนอย่างยั่งยืน เริ่มขับเคลื่อนในพื้นที่ภาคอีสานมาตั้งแต่ปี 2565 นำร่องในพื้นที่บ้านนาสีนวน ต.ขัวเรียง อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ด้วยการขุดบ่อพื้นที่ 3 ไร่ เป็นพื้นที่กักเก็บน้ำตามธรรมชาติ และสามารถแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำให้ชุมชนในพื้นที่หมู่ 1 ซึ่งมีกว่า 220 ครัวเรือน รวมไปถึงพื้นที่ในหมู่ 9 ที่มีอีกกว่า 90 ครัวเรือน ให้สามารถมีน้ำใช้และทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี จากที่ก่อนหน้านี้ แค่การใช้ภายในพื้นที่หมู่ 1 ปริมาณน้ำก็แทบไม่เพียงพอแล้ว
โดยเฉพาะช่วงหน้าแล้งที่ต้องไปซื้อน้ำจากทาง อบต. มาไว้ใช้ภายในครัวเรือน และไม่มีน้ำเหลือสำหรับทำการเกษตรเพิ่มเติม แต่หลังจากขุดบ่อแรกสำเร็จ ก็สามารถเพิ่มปริมาณน้ำใช้ให้พื้นที่ได้ตั้งแต่ปีแรก โดยเฉพาะระบบประปาท้องถิ่นที่เคยมีช่วงเวลาขาดน้ำก็กลับมามีน้ำใช้ต่อเนื่อง รวมทั้งปริมาณน้ำในบ่อที่เคยแห้งขอดในช่วงหน้าแล้งก็มีปริมาณน้ำในบ่อตลอดทั้งปี ทำให้ชาวบ้านมีทั้งน้ำใช้ และเหลือพอสำหรับปลูกพืชผักที่หลากหลาย สร้างรายได้ได้มากขึ้น รวมทั้งช่วยเพิ่มแหล่งอาหารจากการจับปลาในสระ พร้อมทั้งยังเพิ่มพื้นที่สันทนาการ ส่วนกลางของชุมชน สำหรับทั้งการพักผ่อน หรือเป็นพื้นที่จัดงานเทศกาลต่างๆ ได้ด้วย
ความสำเร็จของบ่อแรกเมื่อราว 2 ปีก่อน นำมาสู่การขยายผลผ่านการขุดบ่อโครงข่ายเพิ่มเติมในพื้นที่ใกล้เคียงคือ บริเวณโรงเรียนขัวเรียงศึกษา หมู่ 1 ต.ขัวเรียง อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ซึ่งได้ขุดบ่อขนาดเกือบ 2 ไร่ อยู่ห่างจากบ่อเดิมราว 2 กิโลเมตร เพื่อเป็นบ่อโครงข่ายเพิ่มเติมในพื้นที่ เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีปัญหาขาดแคลนน้ำรวมทั้งยังเกิดไฟป่าบ่อยครั้ง ประกอบกับเป็นพื้นที่ติดโรงเรียนและชุมชน ซึ่งไฟอาจลุกลามสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดไฟป่าก็ไม่มีแหล่งน้ำมาช่วยในการดับไฟ ทำให้นักเรียนและบุคลากรต้องซื้อน้ำมาสำรองไว้ใช้เอง ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่เร่งด่วนที่โครงการจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือเช่นกัน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์มัลลิกา ศรีสุธรรม อาจารย์สาขาวิชาปฐพีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงการขุดบ่อโครงข่ายเพิ่มเติมในพื้นที่ว่า เป็นการขยายผลในการแก้ปัญหาปริมาณน้ำในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น เนื่องจากองค์ความรู้ในการขุดบ่อของโครงการสิงห์อาสาฯ ไม่เพียงช่วยเพิ่มปริมาณน้ำระดับผิวดินเท่านั้น แต่ยังเป็นการเติมระดับน้ำใต้ดินให้สูงขึ้น เพื่อสามารถดันขึ้นมาชดเชยน้ำผิวดินในช่วงฤดูแล้งได้ ขณะที่ช่วงน้ำมากก็จะไหลซึมผ่านชั้นหินเพื่อเก็บไว้เป็นน้ำใต้ดิน การมีบ่อโครงข่ายที่มากขึ้น จึงช่วยเพิ่มระดับน้ำใต้ดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ได้ในระยะยาวและยั่งยืนมากขึ้นด้วย
ประกอบกับยังช่วยรับมือต่อความเสี่ยงจากสภาพอากาศแปรปรวนสุดขั้ว ซึ่งนักอุตุนิยมวิทยาทั่วโลกคาดการณ์ไว้ว่า ในปีนี้จะมีทั้งปรากฏการณ์เอลนีโญ และลานีญาเกิดขึ้น ส่งผลให้บางพื้นที่ต้องเผชิญหน้าทั้งปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งที่รุนแรง การเพิ่มบ่อโครงข่าย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบ่อหลักมาเสริมในพื้นที่ จึงเป็นเหมือนการมีทั้ง ‘บ่อพ่อ +บ่อแม่’ มาช่วยเพิ่มความสามารถในการรักษาความสมดุลของพื้นที่ เพื่อรับมือต่อทั้ง 2 สถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม ทั้งช่วยเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำให้เพียงพอสำหรับการใช้ตลอดหน้าแล้งหรือช่วงปรากฏการณ์เอลนีโญ ขณะเดียวกันยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่ช่วยชะลอการหลากของน้ำในช่วงลานีญาที่จะมีปริมาณน้ำมาก เพื่อป้องกันน้ำไหลท่วมชุมชนและพืชผลเกษตรในพื้นที่ถูกทำลายเสียหายได้ ถือเป็นอีกหนึ่งการใช้กระบวนการและองค์ความรู้ทางธรรมชาติมาช่วยบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้อย่างมีความสมดุล
“การเพิ่มบ่อโครงข่ายแห่งใหม่ที่โรงเรียนขัวเรียงศึกษา จะช่วยเกื้อหนุนการทำงานของบ่อเดิม ตามแนวคิด ‘บ่อพ่อ+บ่อแม่’ ทำให้เพิ่มความสามารถในการกระจายน้ำไปยังบ่อลูกๆ ในบริเวณข้างเคียงทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติ หรือบ่อที่เกษตรกรขุดไว้สำหรับการเพาะปลูก และเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในพื้นที่ ช่วยลดปัญหาน้ำท่วม รวมทั้งยังสามารถเป็นแนวกันไฟตามธรรมชาติ ช่วยบรรเทาผลกระทบจากไฟป่า และยังเป็นแหล่งน้ำฉุกเฉินเพื่อช่วยดับไฟ ลดการลุกลามไปยังพื้นที่อื่นๆ ขณะที่บริเวณโดยรอบของบ่อยังมีการปลูกพืชผักที่เหมาะกับพื้นที่ ช่วยทั้งการพังทลายของผิวดิน รวมทั้งยังเป็นประโยชน์ให้คุณครูหรือนักเรียนหรือชาวบ้านในพื้นที่นำไปใช้รับประทานได้ด้วย” ผู้ช่วยศาสตราจารย์มัลลิกา กล่าว
มากกว่าช่วยเฉพาะหน้า แต่มุ่งแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
คุณรวินทร์ ชมพูนุชธานินทร์ ผู้อำนวยการกลุ่มประชาสัมพันธ์ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ภารกิจสำคัญของ สิงห์อาสา คือการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะการมีส่วนช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ภาคอีสาน ทั้งการดูแลน้ำสำหรับการบริโภคผ่านการแจกจ่ายน้ำดื่มให้กับหลายชุมชน การติดตั้งธนาคารน้ำสิงห์เพื่อให้ชาวบ้านมีน้ำบริโภคได้ตลอดทั้งปี รวมทั้งการทำท่อประปาเพื่อลำเลียงน้ำจากพื้นที่ต้นน้ำไปสู่พื้นที่ห่างไกลต่างๆ ซึ่งได้ทำมาอย่างต่อเนื่องและส่งต่อความช่วยเหลือไปยังหลายพื้นที่ในภาคอีสานตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ไม่เพียงแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแบบเฉพาะหน้าเท่านั้น สิงห์อาสายังให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการสร้างแหล่งน้ำชุนชน ที่นอกจากช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำแล้ว ยังส่งมอบองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการแหล่งน้ำชุมชนให้ชาวบ้านในพื้นที่ นำไปต่อยอดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาบ่อน้ำที่อยู่ในพื้นที่ได้มากขึ้น เกิดเป็นโมเดลช่วยบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชนได้อย่างยั่งยืนต่อไป ภายใต้การทำงานร่วมกันทั้งสิงห์อาสา คณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น กลุ่มผู้นำและตัวแทนจากแต่ละชุมชนเพื่อรับฟังและแก้ปัญหาในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแรงให้กับชุมชน รวมทั้งยังมีเครือข่ายนักศึกษานักศึกษาสิงห์อาสาภาคอีสาน ซึ่งถือเป็นลูกหลานคนในพื้นที่และเป็นแนวร่วมสำคัญที่จะนำความรู้ความสามารถของตัวเองมาช่วยเหลือพัฒนาบ้านเกิดได้ในอนาคต” คุณรวินทร์ กล่าวสรุป
ปัจจุบันโครงการ “สิงห์อาสาสร้างแหล่งน้ำชุมชนอย่างยั่งยืน” ได้ขับเคลื่อนแล้วในหลายจังหวัดพื้นที่ภาคอีสาน ผ่านการพัฒนาโมเดลแหล่งน้ำชุมชนกว่า 10 แห่ง และมีแผนจะขยายพื้นที่เพิ่มเติมในอนาคต ผ่านองค์ความรู้ที่สามารถนำไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทในแต่ละพื้นที่ที่มีปัญหาขาดแคลนน้ำ ซึ่งหากสามารถเชื่อมโยงโครงข่ายแหล่งน้ำชุมชนให้เพิ่มมากขึ้นได้ในอนาคต ก็เชื่อได้ว่าปัญหาภัยแล้งในหลายๆ พื้นที่ของประเทศไทยจะสามารถบรรเทาเบาบางลงได้ในที่สุด
แนวทางการขับเคลื่อนโครงการ ยังสอดคล้องกับภารกิจสำคัญของ สิงห์อาสา ที่มุ่งมั่นในการเติมความสุขและสร้างรอยยิ้มให้พี่น้องคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการทำงานร่วมกันของเครือข่ายที่แข็งแรงและกระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อทำความเข้าใจปัญหา ก่อนจะนำมาวิเคราะห์ เพื่อสามารถเข้าไปช่วยเหลือหรือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องคนไทยได้อย่างตรงจุด รวมทั้งพัฒนาเป็นโมเดลที่สร้างให้เกิดความเข้มแข็งขึ้นภายในชุมชน ตามแนวทางของการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง